PrasertN
ความเคลื่อนไหวล่าสุด:
6 พฤษภาคม 2019
วันที่สมัครสมาชิก:
5 พฤศจิกายน 2006
โพสต์:
104
พลัง:
195

โพสต์เรตติ้ง

ได้รับ: ให้:
ถูกใจ 151 336
อนุโมทนา 44 6
รักเลย 0 0
ฮ่าๆ 0 0
ว้าว 0 0
เศร้า 0 0
โกรธ 0 0
ไม่เห็นด้วย 0 0

แชร์หน้านี้

PrasertN

เป็นที่รู้จักกันดี

PrasertN เห็นครั้งสุดท้าย:
6 พฤษภาคม 2019
    1. paranyu
      paranyu
      ผมเพิ่งไปอ่านข้อความที่ท่านตอบโต้ผมน่ะครับ.........

      ท่านลองนึกดูดีๆ หรือไม่ก็กลับไปอ่านตั้งแต่ต้นของกระทู้นั้น

      ผมบอกว่า......ที่มาของคำถามคุณก็มาจากที่ผมตอบ
      จากคำถามของคุณขันธ์ แล้วคุณบอกว่าคำถามสองข้อนั้นผมไม่ได้ถาม มันไม่เกี่ยวกัน
      คุณถือว่าคุณตั้งคำถามใหม่จากที่ผมตอบ.....ในสองคำถามนั้น

      ผมก็ตอบไปว่าเกี่ยว....แม้คำถามสองข้อนั้นคุณไม่ได้เป็นผู้ถามก็ตามแต่
      เพราะถ้าคุณขันธ์ไม่ได้ตั้งคำถามผมก็ไม่ได้ตอบ
      และถึงคุณขันธ์จะตั้งคำถามแต่ไม่ได้จี้ให้ตอบ ผมก็ไม่ตอบ
      และถ้าผมไม่ตอบคุณจะเอาคำตอบผมมาตั้งคำถามใหม่ได้อย่างไร
      มันจึงต้องเกี่ยวครับ......
      ไม่ทราบที่นี้เข้าใจตรงกันหรือยัง
      และผมก็ไม่ตอบคุณในเว็บบอร์ด เพราะไม่ได้มีสาระอะไรกับคนอ่านเลยในประเด็นนี้
      และจะเป็นการพาดพิงคุณขันธ์ด้วย.......หวังว่าคงเข้าใจนะครับ
    2. paranyu
      paranyu
      แล้วอีกอย่างครับที่ผมชอบหลวงปู่เกษมอาจเพราะเป็นแนวเดียวกันครับ

      คือถ้าเราเรียนรู้หลายๆมิติแล้ว คิดดีแล้ว มั่นใจแล้ว ผมไม่กลัวโดนคนเกลียด
      หรือกลัวโดนรุมหรอกครับ....
      แต่ตรงนี้อาจจะไม่เหมือนคุณ PrasertN ครับ
      เพราะคุณ PrasertN ก็ประมาณว่าถึงรู้ว่าดีแล้ว ถูกแล้ว มั่นใจแล้วก็ประมาณว่าถึงไม่รัก
      ก็ไม่อยากให้มีคนเกลียด.....

      แต่จุดยืนของผมคือ ถ้าเราคิดว่าเราถูกแล้ว ผมจะไม่ยอมให้กับพวกมาก
      หรือ ต้องยอมเพราะเดี๋ยวจะมีคนเกลียด หรือเพราะจะมี ศัตรูโดยไม่จำเป็น

      สุดท้ายถ้าเหตุผลจะมีว่า แล้วคุณรู้ได้ไงว่าของคุณถูก ของเขาผิด
      ก็ไม่เป็นไรครับ ถ้ากรณี หลวงปู่ ใครสามารถจับท่านสึกได้เหมือนกระแสตอนแรกๆ
      แต่มีข้อแม้ว่าต้องพิสูจน์ว่าท่านผิดใน ธรรม ในวินัยนะครับ ว่าผิด
      ไม่ใช่ท่านโดนจับสึกเพราะศาล หรือ ตำรวจนะครับ
      ถ้าเป็นเช่นนั้นกระผม ถือว่า ตัวเองโง่ ตัวเอง ผิด ตัวเอง อวดดื้อ ถือดี
      กระผมจะโพสต์ขอขมาทุกท่านที่เคยล่วงเกิน ตัวโตๆหนาๆด้วย
      จะบรรยายประจานความโง่ของตัวเองด้วย
      แต่ คนที่มาถกเถียงกับผมแบบมั่นใจว่า ตัวเองถูกสุดๆเช่นกัน กับไม่เคยยอมรับอะไรเลย
      อยากให้คนมาอนุโมทนาความเห็นตัวเองเยอะๆ ถ้าตัวเองผิดก็กลบเกลื่อนเปลี่ยนเรื่อง
      ตั้งคำถามใหม่ หาวิธีเอาชนะเรื่อยไป.......เฮ่อ น่าเบื่อ
      ถ้าไม่มั่นใจว่าถูกจะมาเถียงหาเรื่องทำไมก็ไม่รู้
    3. paranyu
      paranyu
      สวัสดีครับ คุณ PrasertN


      เมื่อก่อนตอนผมสวดมนต์ นั่งสมาธิ ผมก็ทำตามที่คุณและแม่ชีทศพรแนะนำครับเรื่อง
      อารธนาศีล 5 ก่อนลงมือปฏิบัติ.....แต่ผมมานั่งทบทวนแล้วครับว่าถือให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์
      ไม่ได้โดยเฉพาะข้อ สุราเพราะผมเป็นคนมีพรรคพวกเพื่อนฝูงเยอะ ผมก็ไม่อยากเสียสัจจะที่เรารู้อยู่แก่กับพระพุทธองค์ ส่วนอีก4ข้อผมถือยันตายได้สบายมาก ก็เลยไม่ได้นั่งสมาธิต่อตามเหตุผลที่เคยได้บอกกล่าวไปแล้วครับ ส่วนเรื่องมนต์ก็เหมือนที่ได้เคยอธิบายไปแล้วเหมือนกันครับ..แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกวันนี้ไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับ
      ก็ใช้วิธีอุทิศบุญเอารวมๆแล้ววันๆหนึ่งผมยังปฏิบัติมากกว่าเมื่อก่อนอีกครับ
      นึกได้เมื่อไหร่ก็ระลึกถึง พุทธ ธรรม สงฆ์ และก็อุทิศบุญออกไปวันๆเป็นร้อยๆเที่ยว

      ส่วนเรื่องสัญญาอะไรนั่นที่คุณบอก ผมรู้ครับ.....แต่มันรู้มากไปแล้วจะให้แกล้งลืมหรือทำเป็นไม่เคยรู้มาก่อนมันทำไม่ได้ครับเพราะมันไปรู้มาแล้วและส่วนตัวผมเป็นคนชอบเรียนรู้ด้วยครับ ที่ไหนว่าดีผมไปหมดครับ(เมื่อก่อนนะ)

      ส่วนหลวงปู่บัว วัดบ้านตาดผมเคยไปกราบไปทำบุญไปฟังเทศน์กับท่านมาแล้วเหมือนกันแต่ไม่เคยได้พูดคุยกับท่านเป็นการส่วนตัวครับ

      ส่วนคุณแม่สิริ ผมไม่เคยได้ไปปฏิบัติกับท่านครับแต่ทราบมาว่าท่านแนวเดียวกับหลวงพ่อจรัล วัดอัมพวันคือเน้นเรื่อง สติปัฐฐาน 4 ผมก็ไปปฏิบัติที่วัด ครั้งละ3-7วัน มาแล้วประมาณ 6-7 ครั้งครับ แต่ไปมากกว่านั้นครับเพราะบางทีไม่ได้ไปอยู่ปฏิบัติแต่แวะไปทำบุญ ฟังเทศน์หลวงพ่อจรัลเฉยๆครับ

      ส่วนเรื่องข้อความในพระไตรปิฏกนะครับ ผมจะชี้แจงให้คุณ PrasertN นะครับ
      ว่าหลวงปู่หรือพระวัดสามแยก ท่านไม่ได้คัดเฉพาะข้อความหรือแต่ละประโยคขึ้นมาเพื่อตีความเข้าข้างตนนะครับ ตัวท่านอ่านพระไตรปิฏกมาเป็น สิบๆรอบและหลายเวอร์ชั่นแล้วครับ และที่มากกว่านั้นท่านก็ไม่ได้เอาตัวท่านเป็นใหญ่นะครับ จริงๆแล้วธรรม ที่ท่านรู้ ท่านรู้มากกว่าในพระไตรปิฏก(เพราะในนั้นพระพุทธองค์ท่านสอนธรรมเฉพาะที่จำเป็นในการพ้นทุกข์เท่านั้นจริงๆแล้วธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสรู้มีมากกว่าในพระไตรปิฏกอีกมากครับ)อีกนะครับ แต่ท่านจะสอนจะบอกได้ก็ต่อมามีเรื่องราวที่ตรงกับในพระไตรปิฏก ขนาดท่านสอนธรรมเรื่องที่มีในพระไตรปิฏกยังมีปัญหาเลยครับ......ขอย้ำนะครับ ท่านไม่ได้ตีความในหนังสือแล้วเอาออกมาสอนนะครับ ท่านรู้ธรรมจากจิตจากการปฏิบัติแล้วนำธรรมนั้นไปเทียบเคียงกับพระไตรปิฏกแล้วค่อยนำออกสอนครับ

      อย่างที่ผมเคยบอก ว่างๆคุณลองพาเพื่อนๆไปหาไปสนทนาธรรมกับท่านสิครับ

      อีกเรื่องหนึ่งเรื่องเกี่ยวกับสัญญาอะไรนั่นหนะ ผมรู้ครับแต่ผมชอบรู้ให้ถึงที่สุด

      หลวงพ่อ จรัญ ท่านสอนว่า เอาสติอยู่กับปัจจุบัน ไม่ต้องปฏิบัติไปรู้ไปเห็น นรก สวรรค์
      ไปดูมันทำไม....ทำมนุษย์สมบัติให้ดีเถอะ บันไดสวรรค์ พรหม นิพพานมันก็มารอเอง
      (คำสอนท่านน่าฟังและมีเหตุผลไหมครับ)


      ที่นี้มาดูอีกองค์หนึ่ง คือ หลวงปู่ฤษีลิงดำ
      ท่านเน้นสอนให้ คนที่มาเป็นศิษย์ท่าน เห็น นรก สวรรค์ (มโนมยิทธิ)
      และท่านก็สอนด้วยว่า ฉันเคยไปลองมาแล้วปฏิบัติอะไรที่เดินช้าๆๆ หน่ะ (แนวสติปัฐฐาน4)
      มันไม่ไหวไม่เข้ากับจริตฉัน ต้องแบบที่ฉันสอนสิ (ฤทธิ์ทางใจ) สงสัยอะไรก็จะได้ขึ้นไปถาม องค์สมเด็จพระชินสีห์ ท่านปู่ ท่านย่า
      (ท่านก็สอนน่าฟังและมีเหตุผล)

      เพราะจริงๆแล้วผมก็นับถือคุณธรรมท่านทั้งสององค์แต่ท่านสอนขัดๆกันยังไงชอบกล
      ต้นเหตุก็อย่างที่ท่านว่า เพราะ สัญญามาก ไปอ่านมาก ไปรู้มาก(แล้วดันรู้ไม่จริงซะอีก)
      จริงๆแล้วถ้าไปนับถือองค์ใดองค์หนึ่งแล้วตั้งใจปฏิบัติตามที่องค์นั้นสอนก็จบป่านนี้ก็ก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว มัวแต่เลือกอาจารย์เหมือนกบเลือกนายแล้วแต่คนจะมอง
      แต่เหตุผลส่วนตัวผมคือ ผมไปลองฝึกนั่ง มโนมยิทธิ ที่ซ.สายลม คนที่เข้าไปพร้อมผมไปครั้งแรกเหมือนกัน นั่งล้อมวงสิบคนมีอาจารย์นั่งตรงกลาง 9 คนอาจารย์เขาถามว่าเห็นไหมและเขาก็พาไปไหนต่อไหนกันหมด ส่วนผมไม่ให้อะไรเลย อาจารย์เขาก็บอกอีกว่าบา
      งทีมันอาจจะไม่เห็นเหมือนตาเนื้อ หรือภาพในฝันเพราะจิตของเรายังไม่ใส ไม่เคยฝึกมาก่อน แต่ก็ต้องมีความรู้สึกบ้างแหละน้า และแกก็ถามรู้สึกเหมือนมีใครอยู่ใกล้ๆไหม
      ผมก็ไม่เห็นจะรู้สึกอะไรเลย แกก็ถามย้ำๆๆอยู่อย่างนั้นจนผมไม่รู้จะตอบยังไงดี หลังๆแกถาม
      ผมก็เงียบ ถึงคนอื่นเค้าจะมองเราเป็นตัวประหลาด เราก็ไม่อยากโกหก ก็มันไม่เห็น ไม่รู้สึกจะให้ผมตอบตามน้ำก็ไม่ได้

      พอไปปฏิบัติแบบที่ วัดอัมพวันก็ อึดอัดแสนอึดอัด เพราะผมเข้าใจหลักการท่านสอนให้ยิ่งช้ายิ่งดี แต่นิสัยเราใจเราเป็นคนคิดเร็วทำเร็ว พอมาฝืนให้มันช้าก็อึดอัดสุดๆๆเพราะเชื่อในคำแนะนำท่านการปฏิบัติธรรม ต้องฝืนใจเราเพราะกิเลสมันมักพาใจไหลสู่ที่ต่ำ การปฏิบัติก็เหมือนทวนน้ำขึ้นที่สูง แต่พากลับมาจากวัดตอนแรกๆๆสติดีมากๆๆ รู้สึกเห็นค่าของการฝึกมากๆๆ แต่พอกลับมาสู่กระแสของโลก การปฏิบัติที่ไปเรียนมา ไปฝึกมาก็ถูกละเลยไปจนในที่สุด ก็กลับมาได้แค่ไหว้พระ สวดมนต์ นั่ง สมาธิเหมือนเดิม

      ที่นี่ พอเรียนรู้ ธรรม มากๆเข้า ก็รู้ว่า ท่านก็มีเหตุผลท่านสองท่านนั่นแระ
      อีงค์องค์ ก็ให้เราเน้นฝึก สติ เพื่อนำไปสามารถใช้ได้กับทางโลก ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงาน
      การจะทำอะไรถ้ามีสติเราก็เจริญๆๆขึ้นเรื่อยๆ และแม้ทางธรรมถ้าเรามีสติ เราก็เจริญในธรรม
      เป็นขั้นๆไปเรื่อยๆ
      อีกองค์หนึ่ง ก็สอนให้เรา เห็น นรก สวรรค์ แม้จะไม่ค่อยได้มีประโยชน์โดยตรงกับเราทางโลกเท่าไหร่ แต่การที่เราไปเห็น นรกขุมนั้นๆเราก็จะได้เกรงกลัวไม่กล้าทำบาปอีกแม้ผิดเล็กน้อยแล้วเจริญในทางโลกก็ไม่เอาเพราะไปเห็นโทษในนรกขุมนั้นๆแล้ว ส่วนเห็นสวรรค์ก็เช่นกัน......

      ผมถึงเข้ามาถกอยู่ในเว็บนี่และมีปัญหาอยู่ไงครับ.....ใครเขาจะเกลียดเราวันนี้
      วันหน้าเขาเข้าใจเราเดี๋ยวเขาก็ชอบเราหรือไม่ชอบเรา เราก็ถือว่าเราได้ทำหน้าที่ก็พอแล้วครับ...
      ลองดูสิผมเอาเรื่องที่เล่าขึ้นมานี่(เรื่องที่ท่านสอนขัดกัน)ไปลงกระทู้ในเว็บบอร์ด
      ลูกศิษย์ หลวงปู่ฤาษีลิงดำ กับ ลูกศิษย์หลวงพ่อ จรัญ ก็เถียงกันตายไปข้างหนึ่ง
      ว่าของใครดีกว่าใคร ของใครถูกกว่าใคร
      แต่เรื่องหลวงปู่เกษมนี่สิแปลกก็เหมือนเรื่องที่ผมเล่า แต่ศิษย์หลวงปู่เกษมน้อยกว่าก็โดนรุมเป็นธรรมดา แต่เจตนาผมจริงๆผมไม่ได้กะมาคุยกับพวกนับถือความคิดตัวเองเป็นใหญ่หรือนับถือหลวงพ่อที่ตัวเองเคารพเป็นใหญ่ซ้ำยังมาหาว่าเราสิที่เป็นแบบนั้น
      (คนในบอร์ดเขาไม่รู้หรอกครับ เขานึกว่าผมนับถือหลวงปู่เกษมเป็นสรณะแล้วนึกว่านับถือสุดๆซะด้วยถึงต้องมาออกตัวแทน)
      เจตนาผมเข้ามาถกเถียงเพื่อให้ กลุ่มคนที่อยู่ตรงกลาง และมีแนวความคิดคล้ายๆผมต้องการฟังเหตุผลสองด้านเพื่อจะได้ไปใช้ในการประกอบการตัดสินใจ ว่ายังไง
      ผมถึง เชิญชวนให้คนที่ไม่เห็นด้วยทั้งหลาย เข้าไปศึกษาในเว็บ หรือไปศึกษาธรรมที่ท่านสอนที่วัด ถ้าไม่ดีเดี๋ยวก็รู้ได้เอง แต่นี่มันไม่ใช่ยังงั้นส่วนใหญ่ก็ไม่ศึกษาท่านแล้วก็มาคอม
      เม้นท์
      อีกประเภทก็ศึกษานิดๆหน่อย เคยอ่านหนังสือที่ท่านแจก เคยดูซีดีท่านท่านเทศน์แระแผ่น สองแผ่น รู้สึกไม่ชอบมันขัดๆๆยังไงก็ไม่รู้
      ก็ในเมื่อมันขัดๆๆทำไมไม่ยิ่งศึกษาเข้าไปอีกว่าเป็นเพราะอะไร ทำไมท่านถึงสอนแบบนั้น
      พูดแบบนั้น เพื่ออะไร พอศึกษาไปเรื่อยๆมันก็รู้ขึ้นมาเองครับ
      แล้วคุณ PrasertN มีอะไรจะพอเล่าให้ผมฟังบ้างไหมครับ
    4. PrasertN
      PrasertN
      สวัสดีครับ
      จริงๆแล้วคุณเป็นคนดีมากๆเลยนะครับ
      ผมยังสวดมนต์นั่งสมาธิอย่างที่เมื่อก่อนคุณทำไม่ได้เลย
      ผมเองได้แต่รักษาศีลให้บริสุทธิ์เท่านั้น
      แล้วคุณทำไมไม่รักษาศีลให้บริสุทธิ์หละครับ
      จิตสงบเพียงชั่วเวลาครู่เดียวก็เป็นกุศลมหาศาล
      คุณปฏิบัติต้องไม่คำนึงถึงผลที่ได้ ทำไปเรื่อยๆที่เรียกว่าความเพียร
      แม่ชีทศพร วัดพิชัยญาติการามอยู่ใกล้สะพานพุทธ นี่หนึ่งที่ผมเคยพบ
      แม่ชีเคยบอกว่า ก่อนไหว้พระให้สมาทานศีลก่อนสวดมนต์ เมื่อสวดมนต์วาจาที่เราเปล่งออกมาเป็นวาจาสัตย์
      ก็ธรรมที่คุณยึดถือนั่นเป็นวาจาสัตย์ มนต์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
      พระภาสกร ภูริวฑฺฒโน (ภาวิไล) ค้นหาได้ในกูเกิล ท่านสอนให้สมาทานศีลเป็นภาษาไทย
      ข้าพเจ้าจะรักษาศีล5 ดังต่อไปนี้
      1 ฆ่าสัตว์ 2.....
      บัดนี้ข้าพเจ้าเป็นผู้มีศีลแล้ว....
      หลังจากสมาทานเสร็จทันทีนั้นเราเป็นบุคคลผู้ที่มีศีลแล้ว ไม่ต้องกังวลเรื่องอดีต ว่าเราเป็นผู้ทุศีล เพราะทุศีลมาหลายชาติถ้านับย้อนกลับไป
      สมมุติปุถุชนคนหนึ่งสมาทานศีลเสร็จกลับมาบ้านไปจับปลา ช่วงเวลาหลังจากที่สมาทานศีลจนถึงเวลาที่เขาคิดไปจับปลานั้นถือว่าเขาได้รักษาศีลบริสุทธิ์ ทุกวินาทีที่ผ่านไปจิตเกิดดับไปกี่ล้านๆครั้ง แล้วคุณหยุดปฏิบัติทำความดีมันน่าเสียดาย พระอานนท์ที่อยู่เคียงพระผู้มีพระภาคเจ้าเสมอเป็นสัพพัญญูที่ไม่มีใครเทียบ ท่านรู้มากกว่าใครๆในพุทธพจน์ แต่ใยเล่าท่านจึงบรรลุอรหัตผลช้ากว่าพระผู้อื่น บรรลุหลังจากที่พระบรมสุคตปรินิพพานเสียแล้ว ก็เพราะท่านรู้มากสัญญาเลยมาก พระอานนท์ท่านบรรลุอย่างไรท่านคงหาอ่านดูในพระไตรปิฎกได้
      กลับมาปฏิบัติต่อไปเถิดครับ
      อย่าลืมสมาทานศีลปุ๊บท่านเป็นบุคลที่มีศีลทันทีนะครับ เมื่อมีศีลแล้วก็นั่งสมาธิต่อไปเลย
      ไม่พึงหวังผลเพราะจะเหมือนพระอานนท์
      ไม่แน่ต่อไปนี้ท่านอาจจะก้าวหน้าในธรรมมากกว่าใครๆในเว็บนี้
      อีกท่านก็คือหลวงปู่มหาบัว ญาณสัมปันโน (ที่ถูกต้องต้องหลวงปู่ก่อนเพราะท่านเป็นพระอริยะเจ้า)
      วันที่ 12 สิงหาคมนี้ ช่วงเช้ามีทำบุญที่วัดป่าบ้านตาด
      หรือลองสอบถามที่สวนแสงธรรมถึงกำหนดการเข้าศูนย์ของหลวงปู่ก็ได้ ค้นหาในกูเกิล
      อีกท่าน ดร.สนอง วรอุไร จ.เชียงใหม่ ท่านจบปริญญาเอกทางไวรัสวิทยา จากสหรัฐอเมริกา เรียกว่าสุดๆทางโลก แล้วท่านก็ลองบวชและปฏิธรรมจริงๆ ท่านนี่แหละที่บอกผม(ตอนที่ไปอบรมกรรมฐาน ๗วันที่วัดพระรามเก้าโดยศิษย์ของแม่ชีสิริ กรินชัย) ว่าอ่านมากก็สัญญามาก (หาวีดีทัศน์ปาฐกถาของดร.สนองในกูเกิลได้)
      คุณแม่สิริ กรินชัย คุณแม่เรณู
      ซึ่งเป็นอาจารย์ในยุวพุทธฯ ส่วนท่านอื่นๆนอกจากนี้ที่เป็นภิกษุผมยังไม่เคยได้ชื่นชมคุณธรรมของท่านจึงไม่สามารถแนะนำ

      หาโอกาสไปปฏิบัติธรรมที่ยุวพุทธฯนาน ๗วันบ้าง

      อ้อ ลืมบอกไปว่าที่คุณ บอกว่าถูกหรือดีนั้น ต้องระวัง

      ถูกหรือผิดจะต้องมีจากมาตรฐานเป็นเกณฑ์
      standard หรือ datum
      หาก standard ไม่ได้รับการยอมรับ ก็มีข้อโต้แย้งอยู่ร่ำไป
      (Standard ของคุณคือข้อความบางส่วนบางตอนของพระไตรปิฎกที่มีถึง 84000 พระธรรมขันธ์ซึ่งมิใช่ทั้งหมด เหมือนชิ้นหูของนางงามแต่มิใช่นางงาม พระธรรมจะรวมเป็นหนึ่งเมื่อได้รู้เห็นตามจากการปฏิบัติ)
      แต่ถ้าเป็น fact หรือสัจจะแล้ว ไม่อาจหาข้อโต้แย้งใดๆได้

      การคิดว่าเราทำดีแล้วถูกแล้ว น่ากลัวมาก คุณจึงถูกเพื่อนๆโจมตีไงครับ
      การทำถูกแล้วดีแล้วต้องให้ คนอื่นพูด จึงจะมีน้ำหนักมาก เพราะหลายคนมองหลายแง่มุม

      ที่ผมเขียนหลายครั้งในกระทู้ บางครั้งผมก็มีโทสะ แต่พยายามตั้งสติ อาราธนาบารมีของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าช่วยประคองให้คิดถูกคิดตรงที่สุดครับ
      ระลึกถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าตามแนวทางของคุณเสมอๆนะครับ
    5. paranyu
      paranyu
      สวัสดีครับ......และก็ขอขอบคุณครับ

      ที่คุณยังมองออกว่าและติเตียนหลายคน มิใช่ผมคนเดียวที่เอาอัตตามาคุยกัน
      ถ้าคุณลองสังเกต โพสต์ในแต่ละกระทู้คุณก็จะเห็น ผมรับรองได้ทุกๆกระทู้ผมมิได้เริ่มก่อน

      แต่พอผมเริ่มตอบ ตอบถูกแค่ไหน ตอบดีแค่ไหน ก็จะมีคำถามใหม่ๆๆเกิดขึ้น
      เพื่อจะพิสูจน์ว่าตัวผู้ถามเป็นฝ่ายถูก ผู้ตอบ(คือกระผม)เป็นฝ่ายผิด


      ตอนนี้คุณก็เริ่มจะโพสต์ถาม-ตอบแนวเดียวกับผมแล้ว(แต่ไม่เหมือนเพราะคุณชอบใช้คำว่าไม่คัดค้านแต่ผมใช้คำว่าเห็นด้วย) ประโยคไหนใครพูดถูกผมก็บอกเห็นด้วย(ไม่ว่าผู้นั้นกำลังโต้แย้งอยู่ก็ตาม)

      แต่เรื่องรูปเกี่ยวกับพระพุทธรูปนี่เรายังมีความไม่เข้าใจตรงกันอยู่ครับ
      แต่ไม่เป็นไร ต่างคนต่างค่อยๆอธิบายเดี๋ยวก็ไม่ใครก็ใครล่ะเข้าใจเองครับ
      ส่วนที่ท่านถามเรื่องสมาธิ
      เมื่อก่อน ผมไหว้พระ สวดมนต์ครั้งละไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง วันหนึ่งๆก็ไม่แน่นอน1-3ครั้งครับ เสร็จแล้วก็นั่งสมาธิประมาณครึ่งถึง1ชั่วโมงครับ (เพราะเมื่อก่อนผมเข้าใจว่าดี ว่าถูก)
      แต่พอผมเริ่มศึกษาจากหลวงปู่ท่านไม่ได้ห้ามสวดมนต์ ห้ามนั่งสมาธินะครับ
      คนไปเข้าใจท่านผิด แต่ผมก็เลิกสวดมนต์ เลิกนั่งสมาธิ เพราะท่านอธิบายลึกซึ้งครับหาอ่านหาฟังตามที่ผมเคยบอกเถิด
      แต่ผมบอกคร่าวๆก็ประมาณว่า สวดไม่รู้เรื่อง ทำตามที่สวดไม่ได้ ผมก็จริงแฮ่ะก็เลิก
      ศีลยังไม่บริสุทธ์ ยังไม่บริบูรณ์ไปนั่งสมาธิ มีส่วนของความเป็นบ้า
      แรกๆผมก็ไม่เชื่อเพราะทำมาตั้งหลายปีแถมขัดกับความเชื่อเราอีก
      พอไปตรวจสอบจากพระไตรปิฏกก็จริงอีกแล้ว ก็เลิกนั่ง เพราะตัว
      ผมศีลยังไม่บริสุทธ์ ศีลผมยังไม่บริบูรณ์ ไม่ใช่ท่านสั่งหรือท่านบอกให้เลิก
      เราเลิกเพราะเรารู้ตัวเราดีว่ายังไม่ดีพอที่จะข้ามขั้น แต่ท่านก็มีวิธีเยอะแยะครับให้เราเริ่มจากง่ายไปยาก

      ส่วนเรื่องพระเกจิที่คุณถาม ผมไปมาเยอะครับเยอะมากๆด้วย แต่ไม่ค่อยได้สนทนาธรรมกับท่านเหล่านั้นเป็นการส่วนตัวเท่าไหร่ครับ ไปทำบุญ ไปนั่งฟังท่านเทศน์ ไปนั่งฟังท่านตอบปัญหาให้คนอื่นๆครับ
      และพระอัศจรรย์ที่คุณแนะนำ ผมยังไม่เคยเจอครับ แต่ถ้าเป็นอย่างท่านประมาณว่าก็
      หลวงปู่เกษม นี่และครับที่ผมเพิ่งไปเจอ ท่านรู้ก่อน รู้เยอะครับท่านลองไปสทนาธรรมกับหลวงปู่สิครับ ไม่มีข้อโต้แย้งเลยครับพาเพื่อนๆไปช่วยๆๆกันคิดช่วยๆๆกันถามก็ได้ครับ
      แต่ไอ้ที่พวกกระผมเข้ามาตามนี่ไม่ได้เรื่องหรอกครับ สู้ท่านอธิบายไม่ได้ครับ
      และ คุณ PrasertN มีพระอัศจรรย์แบบที่ท่านว่าแนะนำด้วยครับ
      อยากไปเรียนรู้และศึกษาเหมือนกันครับ
  • Loading...
  • Loading...
Loading...