เรื่องเด่น หลวงพ่อไปแล้วทำให้เราไปนิพพานง่าย

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย Wannachai001, 25 กรกฎาคม 2019.

  1. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    119
    ค่าพลัง:
    +225,741
    0001 (1).jpg

    หลวงพ่อไปแล้วทำให้เราไปนิพพานง่าย


    อันที่จริงหลวงพ่อไปนิพพานแล้ว เอาพูดเข้าข้างตัวเรานะ ก็จะทำให้พวกเราไปนิพพานง่ายเข้า มันเหมือนกับคนที่รักไปรออยู่ข้างหน้าเรา เมื่อเราจะตาย ถ้านึกถึงท่านนิดเดียวเท่านั้นเอง ท่านจะมาปรากฏให้เราเห็นตรงหน้า มันเหมือนคนที่รักกันมากแล้วจากกันไปนาน เมื่อเห็นภาพแจ่มชัดมันจะเกาะทันที หลวงพ่อท่านสอนวิปัสสนาญาณให้เราเต็มที่แล้วนี่ จิตจะจับท่านไม่ปล่อยเลย

    เหมือนครั้งหนึ่งท่านเล่าถึงจ่าพัว จ่าพัวคนนี้เคยพิมพ์หนังสือมหาสติปัฏฐานสูตรถวายหลวงพ่อสมัยก่อน ตอนหลังป่วยมากก็ไม่นึกว่าตัวเองจะไปไหนได้หรอกก็ภาวนา พระพุทธเจ้าก็เสด็จมาพอดี จ่าพัวก็ไปกอดที่เท้า ตรัสว่า “พัวไปนิพพานกับพ่อไหมลูก” “ไปครับ แต่ผมกลัวไปไม่ได้”

    ท่านก็ชี้มาดูข้างล่างให้จ่าพัวดูร่างกาย “เป็นทุกข์ไหม” “ทุกข์ครับ” “ร่างกายไม่ดีอย่างนี้ยังรักอยู่เหรอ” “ไม่รักครับ” “งั้นก็ไปนิพพานกับพ่อ” เท่านี้เอง จ่าพัวไปหลังจากตายแล้วหลวงพ่อก็คุยกับจ่าพัว ถามว่าไปยังไง บอกว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาก็เกาะที่เท้าท่านแน่นเลย

    อย่างพวกเราหายใจเป็นหลวงพ่อ พอจากกันไปนานๆเช่นนี้ พอเจอครั้งเดียวเท่านั้นก็เกาะแน่น ถึงว่าจะไปนิพพานง่ายนะ นี่เป็นความเห็นส่วนตัวนะ เพราะมีตัวอย่างเช่นจ่าพัว ถ้าได้มโนมยิทธิยิ่งดีใหญ่

    ถ้าจิตขึ้นไปปุ๊บอยู่ใกล้พระพุทธเจ้าแล้วมองมาข้างล่างก็จะพิจารณาเห็นว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา มันจะเห็นเป็นตัวสองตัว ตัวที่นั่งอยู่ข้างบนอยู่กับพระพุทธเจ้าผ่องใส ตัวข้างล่างเป็นยังไงก็พิจารณาดู ต้องอาบน้ำเพราะสกปรกใช่ไหม ไม่อยากแก่มันก็แก่ใช่ไหม ไม่อยากตายมันก็ตายใช่ไหม ฉะนั้นได้มโนมยิทธิมันเห็นง่าย

    อันที่จริงพูดง่ายนะแต่เวลาวาง วางยากเหมือนกัน แต่ที่จริงท่านก็สอนให้ยอมรับความเป็นจริงเท่านั้นนะ

    พอ ปี 2535 ก่อนเดือนตุลาคม ท่านก็เริ่มป่วย ป่วยของท่านนี่ป่วยทุกวัน วันไหนที่ท่านร่างกายดี ไม่มีจริงๆ จะขอลัดลงมาเลยว่าท่านป่วยครั้งสุดท้ายนี่ ปรกติป่วยนี่จะเกี่ยวกับเรื่องท้องส่วนใหญ่ ก่อนจะป่วยท่านจะบอกกับเราว่า เห็นสีแดงแจ๊ด ช่วงเข่านี่จะปวดเข่า ช่วงท้องก็จะเป็นเรื่องท้อง ถ้าช่วงตรงไหนก็จะเป็นตรงนั้น สีแดงนี่ไม่ใช่โทษ เขามาทำเป็นสัญลักษณ์ว่าจะป่วยช่วงไหน

    แต่ก่อนมรณภาพนี่ ท่านบอกว่าป้ายสีแดงแช้ดทั้วตัวเลย แต่เป็นมันป้ายเป็นมันพิเศษ เราก็นึกในใจว่าหลวงพ่อป่วยขอให้หาย หลวงพ่อป่วยเดี๋ยวก็หาย แต่เอาจริงท่านป่วยมากจนไม่มีแรง ล้างท้อง 2 วัน ก็ไม่มีแรงให้น้ำเกลือไม่ได้ เพราะน้ำในร่างกายมีน้อยมาก พอให้น้ำเกลือไม่ได้นี่ก็ไม่มีแรง เมื่อไม่มีแรงมาก ก็ต้องเข้าประคับประคองกัน ประคับประคองมากๆ

    มีอยู่คืนหนึ่งใกล้จะมรณภาพ ท่านก็บอกกับทหารว่า โอ..ทวารเปิดหมดแล้วลูก จะอยู่ยังไง ทหารก็โทรศัพท์มาเรียก ก็ไปหาก็ไปดูใจกัน ไปช่วยดูใจหลวงพ่อ พอไปถึงหลวงพ่อนอนเงียบหมดแล้ว เงียบ เรานึกว่าหลวงพ่อมรณภาพแล้ว แต่เห็นนอนตะแคงอยู่ก็ยังอุ่นใจว่ายังไม่เป็นไรพอหลวงพ่อพลิกตัว เราก็เปิดไฟสว่างหมดเลย

    คือปรึกษากับพยาบาลว่าให้มาให้น้ำเกลือ เมื่อหลวงพ่อลืมตาขึ้นมาก็ขออนุญาตท่านให้น้ำเกลือ หลวงพ่อเพลีย พยาบาลก็แทงไป 7 เข็มถึงจะได้ พอให้น้ำเกลือได้สัก 2-300 ซีซีก็แจ้งพอดี

    แจ้งท่านก็ให้ถอดเข็มออก บอกว่า นันต์ เมื่อคืนนี้คุยกับพระ พระท่านถามว่า คุณตัดสินใจแล้วหรือ ฉันก็บอกว่าตัดสินใจแล้วครับ พระถามว่าคุณ วิหารสมเด็จองค์ปฐมคุณยังสร้างไม่เสร็จนี่ หลวงพ่อก็บอกว่า ผมจะหาเงินให้พระครับ พระท่านก็บอกว่าพวกนี้จะทำได้รึ หมายถึงพวกอาตมา หลวงพ่อก็บอก ผมจะหาเงินให้พระครับ


    ตั้งแต่นั้นมาท่านก็อาการหนักขึ้นมาตลอด เมื่ออาการหนักขึ้น ท่านก็ไปพักที่ตึกอินทราพงศ์ ก็จะขออนุญาตให้พระเข้าไปกราบท่านดูแลท่าน เมื่อเวลา 4 โมงเช้าอาตมาเข้าไป ท่านก็ทักว่านันต์เหรอ พูดตาไม่ค่อยลืม ตาลอย ปลัดวิรัชเหรอ ก็คุย ยิ้ม พูดอ้อแอ้ อ้อแอ้ แล้วก็ไม่ให้พระไปเยี่ยม เราก็บอกให้พระไปฉันเพลได้ เดี๋ยวบ่ายโมงค่อยไปเยี่ยมท่านที่ตึกรับแขก

    แต่ก่อนจะไปนั้นก็บอกว่าบ่ายบอกให้ปลุก แต่เราไม่ปลุก ปล่อยให้ท่านนอนจำวัดไป ตัวเขียวหมด ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุทัยธานีมา เอาหมอโรคหัวใจมาดูก็บอกว่าไม่ไหวแล้วอย่างนี้ต้องเข้าโรงพยาบาล แต่เมื่อท่านลืมตามา เมื่อประมาณบ่าย 2 โมง ท่านก็ไม่ยอมไป ไม่ยอมเข้าโรงพยาบาล ก็หามท่านไปรับแขก เพราะว่าท่านจะไป

    เราก็เอาเก้าอี้โซฟา เอาทหารหามไปรับแขก คนเห็นอาการของท่านก็ร้องไห้ ทุกคนก็เสียใจสลดใจ เมื่อพระไปกราบท่าน ท่านก็บอกให้พระไปทำงานตาม หน้าที่ไม่ต้องห่วง ร่างกายเป็นแบบนี้ ร่างกายเกิดมาแล้วต้องป่วย ร่างกายเป็นอนิจจังไม่เที่ยง ขอให้ทุกคนไปทำงานได้ เมื่อพระไปทำงานแล้ว อาตมาอยู่เฝ้ากันอยู่ เมื่อเลิกเวลารับแขก ก็หามไปเอ็กซ์เรย์ที่โรงพยาบาลที่วัด เมื่อไปโรงพยาบาลที่วัดแล้ว ก็หามกลับไปที่กุฏิ ตอนเย็นๆก็มีหมอมาให้น้ำเกลือ 3-4 คน

    อันที่จริงหลวงพ่อท่านไม่อยากเข้าโรงพยาบาล แต่จะไปรับแขกที่สายลม เพราะคนเขาจะไม่รู้กัน เป็นห่วงคนแก่ที่สายลมจะมาทำบุญไม่ได้ ปรารภที่จะไปสายลม แต่คืนนั้นอาการก็โคม่ามาก จึงเอาท่านส่งโรงพยาบาลศิริราช ข้างล่างที่ชุลมุนวุ่นวาย อาการของท่านก็หนักมาก พอจะเอาขึ้นรถ หมาก็หอนใหญ่ เต็มวัดหมด หอนเสียงก้องไปหมด พอเข้าไปถึงโรงพยาบาลระหว่างคืนนั้น ไปถึงโรงพยาบาลศิริราชก็ประมาณตี 5 แล้ว หลังจากนั้นอยู่อีก 2-3 วันที่ห้องCCU ท่านก็มรณภาพเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2535 เวลา 4 โมงเย็น 10 นาที

    ท่านทั้งหลายที่สนใจปฏิบัติความดีนั้น ครูบาอาจารย์หรือหลวงพ่อพระราชพรหมยานนั้นได้ทำคำสอนไว้ครบถ้วนทุกอย่าง ถ้าท่านต้องการทำความดีก็มาหาได้ที่วัดท่าซุงหรือวัดจันทาราม จังหวัดอุทัยธานี มีตำรับตำราให้ท่านทุกอย่างให้ท่านครบทุกจริต ทุกนิสัย ทุกความต้องการ ดังที่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ รับรองว่า หนังสือของท่านเจ้าคุณถือเป็นตำราแบบแผนได้ทุกประการ

    หลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล(อนันต์ พทฺธญาโณ)

    (จากหนังสือประวัติหลวงพ่อพระราชพรหมยาน หน้า 72-74)

    จากเพจเวบวัดท่าซุงตามลิงค์ด้านล่างครับ

    https://www.facebook.com/jantaram.thasung/photos/a.887217744788099/1316313988545137/?type=3&theater

    *** การเผยแพร่ธรรมเป็นเรื่องดีนะครับ แต่ท่านที่เข้ามาคัดลอกธรรมตามกระทู้ต่างๆในเวบนี้หรือเวบอื่นๆแล้วนำไปลงในเพจในเวบสื่อสิ่งพิมพ์ออนไลน์ที่ท่านทำงานอยู่เพื่องานในอาชีพของท่าน กรุณามีมารยาทในการให้เครดิตแหล่งที่คุณคัดลอกมาด้วย

    ถ้าไม่คุณก็ไปหาอ่านธรรมในหนังสือหลวงพ่อแล้วคัดลอกพิมพ์ด้วยตัวท่านเองแล้วนำไปลงในสื่อสิ่งพิมพ์ของท่านเอง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 สิงหาคม 2019

แชร์หน้านี้

Loading...