เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 16 ธันวาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,814
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +26,407
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_8812.jpeg
      IMG_8812.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      168 KB
      เปิดดู:
      17
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,814
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +26,407
    วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ ตั้งใจจะเปลี่ยนเวลามาบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนตอน ๖ โมงเย็น แต่ปรากฏว่าวันนี้ทำไม่ได้ เนื่องเพราะว่ากลับมาเจออากาศที่ต่างกัน ๔ - ๕ องศาเซลเซียส ร่างกายรับไม่ไหว หมดสภาพไปเสียก่อน ถ้าหากว่าไม่มีเสียงระฆังเรียกทำวัตรค่ำก็คงจะยาวไปเลย..!

    สำหรับวันนี้ได้ไปตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจแก่นิสิตคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งปฏิบัติธรรมประจำปีอยู่ที่ศาลาการเปรียญ ดร.อุไรศรี คะนึงสุขเกษม วัดมหาจุฬาลงกรณราชูทิศ ถนนพหลโยธิน หมู่ที่ ๑ ตำบลลำไทร อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

    ส่วนหนึ่งซึ่งได้ตักเตือนบรรดาพระภิกษุสามเณรและผู้เข้าปฏิบัติธรรมไป ก็คือ ทุกคนปฏิบัติธรรมเหมือนกับแก้บน ไม่ได้มาปฏิบัติธรรมโดยที่ตั้งใจ แต่ทุกคนรู้สึกว่ามาเพราะโดนหลักสูตรบังคับ พูดง่าย ๆ ว่า
    ทิ้งโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิต ซึ่งมนุษย์คนหนึ่งจะพึงมีพึงได้ เพราะว่าการที่เราได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ได้ฟังธรรมแล้วน้อมนำมาปฏิบัตินั้น เป็นเรื่องที่ยากเป็นอย่างยิ่ง

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ การเกิดเป็นมนุษย์นั้นแสนยาก ถ้าว่ากันตามหลักวิทยาศาสตร์ก็คือ ต้องช่วงชิงกับผู้อื่นนับ ๑๐ ล้านเพื่อที่จะเป็น ๑ ในหลาย ๑๐ ล้านนั้นมาเกิด

    แต่ถ้าว่ากันตามที่อรรถกถาจารย์ท่านเปรียบเทียบเอาไว้ ก็เหมือนกับเอาเต่าตาบอดตัวหนึ่ง โยนไว้ในทะเลที่เต็มไปด้วยคลื่นลม แล้วมีแอกเล็ก ๆ ขนาดพอสวมคอเต่านั้นได้ ทิ้งเอาไว้ในทะเลนั้นด้วย ระยะเวลา ๑๐๐ ปีให้เต่าตัวนั้นโผล่ขึ้นมาครั้งหนึ่ง ถ้าศีรษะสามารถสวมกับแอกได้พอดี นั่นคือโอกาสที่มนุษย์คนหนึ่งจะได้เกิดมา แล้วท่านคิดว่าต้องใช้ระยะเวลานานเท่าไร ? กว่าที่ศีรษะเต่าซึ่งร้อยปีโผล่ขึ้นมาครั้งหนึ่งจะสวมกับแอกได้พอดี

    ประการที่สอง กิจฺฉํ มจฺจาน ชีวิตํ การดำรงชีวิตอยู่รอดมาถึงปัจจุบัน เป็นเรื่องที่ยากเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าชีวิตคนอยู่ที่ลมหายใจเดียวเท่านั้น หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตายอีกเช่นกัน กว่าจะมาถึงปัจจุบัน เรามีโอกาสตายมากจนนับไม่ถ้วน..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,814
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +26,407
    ประการที่สาม กิจฺฉํ สทฺธมฺมสฺสวนํ การที่จะได้ฟังธรรมนั้นเป็นเรื่องที่แสนยาก เพราะว่ากว่าจะมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรากฏขึ้นมานั้น อย่างน้อยต้องบำเพ็ญบารมีถึง ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป

    ถ้าเราจะนับอายุมหากัปก็ต้องเริ่มจาก ๑ รอบอันตรกัป ก็คือระยะเวลาที่เราตั้งเลข ๑ ขึ้นมา แล้วต่อด้วยเลข ๐ จำนวน ๑๔๐ ตัว ระยะเวลาที่ยาวนานไป บุคคลมีความชั่วแทรกเข้ามาทีละเล็กทีละน้อย อายุขัยของมนุษย์ก็ลดลงไปเรื่อย ผ่านไป ๑๐๐ ปีลดลง ๑ ปี ผ่านไป ๑๐๐ ปีลดลง ๑ ปี

    จากเลข ๑๔๑ หลักลดลงมาถึงเลข ๒ หลัก คือ ๑๐ ปีโดยประมาณ แล้วเกิดมิคสัญญีฆ่าฟันกัน ชนิดที่จดจำกันไม่ได้ว่าใครเป็นพ่อแม่พี่น้อง บุคคลที่เกิดความสลดใจก็หันไปรักษาศีล เจริญภาวนา เมื่อความดีเกิดขึ้นก็ลักษณะเดียวกันว่า ระยะเวลาผ่านไป ๑๐๐ ปี อายุก็เพิ่มขึ้น ๑ ปี ผ่านไป ๑๐๐ ปี อายุก็เพิ่มขึ้น ๑ ปี จนกระทั่งอายุขัยมนุษย์กลับไปยั่งยืนด้วยตัวเลข ๑๔๑ หลักเท่าเดิม จากสูงสุดลงมาต่ำสุด จนย้อนกลับไปสูงสุด เรียกว่า ๑ รอบอันตรกัป เป็นเวลาที่ยาวนานจนนับไม่ได้..!

    อรรถกถาจารย์เปรียบไว้ว่าเหมือนมีถังเหล็กใบหนึ่ง กว้าง ๑ โยชน์ ยาว ๑ โยชน์ สูง ๑ โยชน์ ก็คือด้านละ ๑๖ กิโลเมตร เพราะว่าโยชน์หนึ่งมี ๔๐๐ เส้น หนึ่งเส้นมี ๒๐ วา เท่ากับด้านหนึ่ง ๘,๐๐๐ วา เทียบเท่า ๑๖,๐๐๐ เมตร คือ ๑๖ กิโลเมตร..! ระยะเวลา ๑๐๐ ปี เอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดที่ละเอียดเหมือนทรายละเอียดที่กรองดีแล้วหย่อนลงไปเมล็ดหนี่ง ๑๐๐ ปีผ่านไปหย่อนลงไปเมล็ดหนึ่ง เมล็ดพันธุ์ผักกาดเต็มถังนั้นแล้วยังไม่ได้ ๑ รอบอันตรกัปดี แล้วท่านทั้งหลายคิดว่าจะมีโอกาสหย่อนเมล็ดแรกไหม ?

    แล้วจากนั้น ๑ รอบอันตรกัปที่ยาวนานขนาดนั้น ๖๔ รอบอันตรกัปจึงเท่ากับ ๑ อสงไขยกัป ๔ อสงไขยกัปจึงเท่ากับ ๑ มหากัป เท่ากับว่า ๑ มหากัปท่านจะต้องหย่อนเมล็ดพันธุ์ผักกาดให้เต็มถังมหายักษ์นั้น ๒๕๖ ถัง..! แค่เศษของการปฏิบัติเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าแสนมหากัป เราก็ไม่ทราบว่ายาวนานเท่าไร แล้วนี่ยังเป็นอสงไขยของแสนมหากัปอีก..!

    คำว่า อสงไขย หรือ อสังขยา ที่แปลว่านับประมาณไม่ได้ เป็นเพราะว่าเราใช้ชีวิตมนุษย์ แม้กระทั่งเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดแรกเราก็อยู่ไม่ถึงที่จะหย่อนลงไป เราจึงนับไม่ได้ แต่พรหมเทวดาท่านอายุขัยยืนยาวมาก โดยเฉพาะถ้าหากว่าเป็นพรหมชั้นท้าย ๆ ท่านสามารถนับได้ หรือผู้ที่ทรงอภิญญาสมาบัติ ใช้ความเป็นทิพย์สามารถคำนวณได้ ระยะเวลาที่ยาวนานปานนั้นกว่าจะมีพระพุทธเจ้าปรากฏขึ้นมาพระองค์หนึ่ง

    จึงเข้ากับข้อสุดท้ายที่ว่า กิจฺโฉ พุทฺธานมุปฺปาโท การเกิดของพระพุทธเจ้านั้นยากเป็นที่สุด
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,814
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +26,407
    คราวนี้เราได้หลายได้ชาติกำเนิดเกิดเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ได้ฟังธรรมแล้ว เราจะละทิ้งโอกาสที่น้อมนำมาปฏิบัติอย่างนั้นหรือ ? ถ้ายิ่งเป็นการบังคับ ยิ่งเท่ากับเขาบังคับให้เราดี การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนี้แต่ละชาติ ประกอบไปด้วยความทุกข์เหลือที่จะทน กระผม/อาตมภาพเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด มาลาเรียกำเริบแต่ละครั้ง เหมือนกับมีอาวุธเสียบแทงอยู่ทั่วร่างกาย แม้แต่นาทีเดียวก็ไม่อยากที่จะได้ร่างกายนี้ เพราะว่ามีแต่ความทุกข์สาหัสขนาดนั้น..!

    แล้วถ้าเราเวียนว่ายตายเกิดในทะเลทุกข์ที่ไม่รู้จบแบบนี้ เรายังต้องการอีกหรือ ? ทำไมเราไม่เร่งปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อที่จะฝ่าทะเลทุกข์นี้ไปให้ได้ไกลที่สุด ถ้าหากว่าไม่สามารถที่จะขึ้นสู่ฝั่งในชาตินี้ ก็ขอให้เหลือระยะทางที่เราจะต้องทนทุกข์ให้น้อยที่สุด ไม่ใช่โอกาสดีที่สุดที่เราจะทำให้ความทุกข์นี้ลดน้อยถอยลง กลายเป็นว่าเราทำแบบเสียไม่ได้..!


    แม้กระทั่งพวกเราที่เป็นพระภิกษุสามเณรกันเอง กว่าที่จะมาทำวัตรได้ เยื้องย่างมาถึงพรรคพวกเขาเริ่มไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ ? หรือกว่าจะมาเจริญพระกรรมฐานได้ บางทีเขาเลิกกรรมฐานจนทำวัตรเช้าจะเสร็จแล้ว ถ้ายังไม่คิดว่าสิ่งที่เราทำนี้สำคัญขนาดไหน ก็ขอให้คิดได้แล้ว เพราะว่าเป็นการทำเพื่อตัวเราเองล้วน ๆ

    อานิสงส์ที่จะพึงได้รับ ถ้าหากว่าอยู่ต่อไปก็จะได้เป็นหลักชัยของพระพุทธศาสนา ประกาศคุณงามความดีของพระพุทธเจ้าว่าเป็นอย่างไร ประกาศคุณงามความดีของพระธรรมว่าเป็นอย่างไร ประกาศคุณงามความดีของพระสงฆ์ว่าเป็นอย่างไร โดยที่มีตัวเองเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดว่าทำแล้วได้ผลดีอย่างไร


    ไม่ใช่ฉันเช้าแล้วเอน ฉันเพลแล้วนอน ตอนบ่ายพักผ่อน ตอนค่ำจำวัด ปล่อยให้กิเลสฟัดอยู่ทุกวันโดยไม่คิดที่จะต่อสู้อะไรเลย แถมยังเป็นตัวอย่างที่เลวให้คนอื่นที่เขาตามมาดูว่า หลวงพี่ท่านนั้นยังทำแบบนั้น หลวงพ่อท่านนี้ยังทำแบบนี้ แล้วกูก็กลายเป็นตัวอย่างที่เลว บ่อนเซาะพระพุทธศาสนาไปอยู่ทุกวัน..!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2024
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,814
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +26,407
    ดังนั้น..เรื่องพวกนี้จึงเป็นเรื่องของจิตสำนึกล้วน ๆ ต่อให้เราไม่คิดที่จะอยู่ต่อ แต่ถ้าตั้งหน้าตั้งตาทำความดี การกระทำความดีที่เราลงทุนด้วยศีลพระ ๒๒๗ ข้อ หรือว่าศีลเณร ๑๐ ข้อ ถ้าเปรียบการลงทุนของญาติโยมเขาที่มีศีลแค่ ๕ ข้อ สิ่งที่ผู้คนลงทุนด้วยเงิน ๕ ล้านบาท กับ ๑๐ ล้านบาท และ ๒๒๗ ล้านบาท ถ้าได้กำไรเหมือนกันใครจะได้กำไรมากกว่า ? ก็พระภิกษุสามเณรได้กำไรมากกว่า

    กุศลทั้งหลายเหล่านี้ถ้าท่านสึกหาลาเพศไป ก็ย่อมทำให้ทางชีวิตของตนเองสะดวกคล่องตัว เนื่องเพราะว่าการมีบุญก็เหมือนกับการมีเงิน คนมีเงินทำอะไรคล่องตัวไปหมด คนมีบุญก็ทำอะไรคล่องตัวไปหมด แต่เราก็ไม่คิดที่จะทำ ได้แต่อยู่อาศัยพระพุทธศาสนาไปวัน ๆ ไม่ได้หวังที่จะอยู่ให้ศาสนาได้อาศัย แล้วลักษณะแบบนั้น ท่านจะหน้าด้านหน้าทนอยู่ต่อไปทำไม ? เพราะมีแต่สร้างความเสื่อมเสียให้กับพระพุทธศาสนา

    เพียงแต่ว่าการทำความดีนั้นไม่ได้สำคัญที่เวลาน้อยหรือมาก สำคัญที่ว่าทำดีทำถูกหรือเปล่า ? ถ้าทำดี ทำถูก ตามหลักมรรคมีองค์ ๘ หรือว่าย่อลงมาตามหลักไตรสิกขาคือ ศีล สมาธิ ปัญญา เราก็สามารถที่จะได้รับผลดีซึ่งตนเองกระทำไว้ได้ในเวลาอันไม่นาน

    จึงเป็นเรื่องที่อยากจะฝากเอาไว้สำหรับทุกท่านว่า ในเมื่อชั่วก็ชั่วมาเต็มที่แล้ว ถึงเวลาจะทำดีก็ทำให้เต็มที่บ้าง ไม่ใช่ทำครึ่ง ๆ กลาง ๆ เหมือนคนมีเวลามาก ตายลงไปเมื่อไร บางทีสิ่งที่เราทำมายังไม่เพียงพอ เนื่องเพราะว่าอยู่ในฐานะปูชนียบุคคล มีโอกาสขาดทุนมากกว่าญาติโยมหลายเท่าเช่นกัน ถ้าลงทุน ๒๒๗ ล้านแล้วเจ๊งหมดตัว ก็ถือว่าไร้ฝีมือโดยสิ้นเชิง..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๑๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...