เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 17 กันยายน 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,823
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,569
    ค่าพลัง:
    +26,411
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,823
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,569
    ค่าพลัง:
    +26,411
    วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๑๗ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ กระผม/อาตมภาพตรงไปยังวัดประยุรวงศาวาส วรวิหารตั้งแต่เช้ามืด รบกวนท่านเจ้าคุณอาทิตย์ - พระโสภณวชิรวาที, ดร. (อาทิตย์ อตฺถเวที ป.ธ. ๓) ดร. เลขานุการของหลวงพ่อพระพรหมบัณฑิต, ศ., ดร. (ประยูร ธมฺมจิตฺโต ป.ธ.๙, Ph.D.) ราชบัณฑิต กรรมการมหาเถรสมาคม ประธานคณะกรรมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งชาติ อาศัยที่ทำงานของท่านเป็นที่พัก บอกกับว่า "ถ้าหากว่าผมไม่มาเวลานี้ ก็คงจะรถติดจนท้อใจแล้วก็เลิกมาไปเลย..!"

    โดยเฉพาะสถานที่จอดรถนั้น
    กระผม/อาตมภาพไม่อยากจะไปรบกวนสถานที่จอดรถของพระเถระ จึงได้ให้น้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) ถอยรถเข้าไปอุดหน้าสำนักงานเลขานุการเจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาส วรวิหาร ไปเลย ทำเอาท่านเจ้าคุณอาทิตย์ซึ่งกราบกระผม/อาตมภาพแล้ว ขอตัวไปดูว่าหลวงพ่อพระพรหมบัณฑิต, ศ., ดร. จะออกมาต้อนรับเมื่อไร ต้องเดินอ้อมโรงทานไปออกอีกฝั่งหนึ่ง เพราะว่าทางเข้าออกโดนปิดไปเสียแล้ว..!

    พระเดชพระคุณพระพรหมบัณฑิต, ศ., ดร, เมตตาลงมาตั้งแต่ ๗ โมงเช้า เพื่อให้กระผม/อาตมภาพถวายมุทิตาสักการะ ในโอกาสที่ท่านเจริญอายุวัฒนมงคล ๖๙ ปี กราบเรียนกับท่านว่า "ถ้าวันนี้ไม่ใช่วันพระใหญ่ กระผมก็คงจะติดงานประเมินเพื่อยกหมู่บ้านรักษาศีล ๕ ต้นแบบ ไม่มีโอกาสมากราบสักการะอย่างแน่นอน" แล้วถวายปัจจัยเพิ่มกองทุนเผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งชาติ ๑๐๐,๐๐๐ บาท

    จากนั้นก็กราบลาท่าน เดินทางฝ่ารถติดกลับที่พัก เมื่อมาถึงแล้วก็นอนสลบไสล เนื่องเพราะว่าอาการมาลาเรียนั้น ถ้าพักผ่อนไม่พอเมื่อไรไข้ก็จะจับทันที เพียงแต่ว่ารู้จักมักจี่กันมาจนคุ้นเคยกันดีแล้ว ถึงเวลาก็ระมัดระวังป้องกันตัวได้ทัน รู้ตัวก็รีบนอนพักโดยเร็ว

    ครั้นลุกขึ้นมาจากการนอนภาวนาก็เป็นเรื่องอีก เพราะมีผู้ส่งคลิปมาให้ดูในกลุ่มไลน์ว่า มีครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งตีความว่า "ศีล ๘ นั้นห้ามค้าขาย..!" ก็คือต้องประพฤติอย่างพรหม มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ถึงจะเรียกว่าประพฤติอย่างพรหม ไม่ใช่ไปค้าขาย กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่ถอนใจว่า "สมัยนี้ทำไมผู้รู้ถึงได้มีมากขนาดนี้ ? แล้วแต่ละท่านก็หารู้จริงได้ยากเสียด้วย..!"

    คำว่าศีล ๘ ที่เป็นศีลพรหมจรรย์นั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้เว้นจากเมถุนธรรม คือการร่วมเพศ แม้ว่าจะเป็นสามีภรรยาก็ต้องงดเว้น พูดง่าย ๆ ก็คือประพฤติอย่างพรหม ได้แก่อยู่คนเดียว

    คำว่า พรหมจรรย์ หรือ พฺรหฺมจริยา แบบอย่างพรหมนั้น ในที่นี้หมายถึงการเว้นเมถุนธรรมด้วยการมีเพศสัมพันธ์แบบสามีภรรยา ถ้าหากว่าไม่มีเพศสัมพันธ์ สัมผัสจับต้องเนื้อตัวกันโดนบังเอิญหรือว่าขาดสติ ก็ถือว่าเป็นศีลด่าง ศีลพร้อย ไม่ใช่ว่ารักษาศีล ๘ แล้วไม่สามารถที่จะค้าขายได้ เรายังคงสามารถค้าขายได้ตามปกติ
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,823
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,569
    ค่าพลัง:
    +26,411
    บุคคลที่รักษาศีล ๘ นั้นก็ย่อมที่จะมีสติระมัดระวังมากกว่าศีล ๕ ดังนั้น..การค้าขายก็จะเป็นไปโดยตรงไปตรงมามากกว่า ประกอบไปด้วยเมตตา กรุณามากกว่า แล้วทำไมถึงมากล่าวว่าศีล ๘ นั้นห้ามค้าขาย ? ถ้าเป็นเช่นนั้น บุคคลในยุคสมัยพุทธกาลซึ่งท่านเป็นมหาเศรษฐีบ้าง เป็นคหบดีบ้าง ก็คงไม่ต้องทำมาหากินอะไรกันพอดี เพราะว่ายุคสมัยนั้นส่วนใหญ่ก็ทำมาค้าขายกันทั้งสิ้น

    อีกส่วนหนึ่งก็คือมีผู้ถามว่า แม้องค์สมเด็จพระสังฆราชได้มีพระวินิจฉัยและกล่าวบอกบุคคลผู้หนึ่งไปว่า "ให้สอนธรรมให้ตรงกับพระไตรปิฎก" ก็ยังมีการนำเอาพระโอวาทไปแถข้างแบบสีข้างถลอกอีก..! กระผม/อาตมภาพบอกกล่าวไปว่า ในเมื่อเรารู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร อะไรใช่ อะไรไม่ใช่ ก็แปลว่าเราเป็นผู้ที่มีสภาพจิตละเอียดกว่า ก็จงให้อภัยแก่บุคคลผู้นั้น หวังว่าเขาจะพ้นจากความมืดบอดเสียที แม้องค์ประมุขสงฆ์ได้เมตตาบอกกล่าวไปขนาดนั้นแล้ว ก็ยังทำเป็น "ไขสือ" แถข้างไป กล่าวแต่ในส่วนที่เป็นประโยชน์แก่ตน

    ทำให้กระผม/อาตมภาพอดที่จะชื่นชมบรรดาพระภิกษุในสมัยพุทธกาลไม่ได้ ในยุคนั้นแม้ว่าท่านจะทำในสิ่งที่น่าเกลียดน่าชัง ล่วงละเมิดศีลขนาดไหนก็ตาม เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถามว่า "ดูก่อน..โมฆบุรุษ เธอกระทำเช่นนั้นหรือ ?" "ดูก่อน..โมฆบุรุษ เธอกล่าวเช่นนั้นหรือ ?" บุคคลผู้นั้นก็จะรับว่า "ใช่พระเจ้าข้า" หรือว่า "ใช่ ขอรับเจ้าข้า"

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น องค์สมเด็จพระภควันบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะตรัสตำหนิว่า การกระทำที่ผิดพลาดเช่นนั้นจะก่อให้เกิดโทษอย่างไร ถ้ากระทำถูกต้องแล้วจะมีประโยชน์อย่างไร ถ้าการกระทำนั้นยังไม่มีข้อห้าม ก็จะบัญญัติศีลขึ้นมา ถ้ามีศีลแล้วยังมีการแถข้างไป ก็จะทรงตั้งอนุบัญญัติขึ้นมา เพื่อห้ามบุคคลที่ชอบเลื้อยเป็นปลาไหล ไม่ยอมรับในสิ่งที่พระองค์ท่านบอกกล่าวไปตรง ๆ

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น กำลังใจของคนสมัยพุทธกาล แม้ว่าจะทำชั่วด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจก็ตาม แต่ท่านมีคุณงามความดี ก็คือผิดก็ยอมรับว่าผิด ใช่ก็ยอมรับว่าใช่ ไม่เหมือนกับสมัยนี้ ที่ถึงเวลาแล้วก็กล่าวเฉพาะในส่วนที่เป็นประโยชน์ของตนเท่านั้น
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,823
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,569
    ค่าพลัง:
    +26,411
    อีกคลิปหนึ่งที่เขาแชร์กันอยู่ในกลุ่มไลน์ก็คือความน่ารักของ "หมูเด้ง" ลูกฮิปโปแคระในสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ซึ่งใช้คำว่า สามารถ "ตกแฟน" ได้ทั่วโลก แม้กระทั่งในประเทศญี่ปุ่น ประเทศจีน ประเทศเกาหลี จนกระทั่งนิตยสารไทม์ยังต้องนำเรื่องความน่ารักของลูกฮิปโปแคระตัวนี้ไปลง แปลว่าโด่งดังไปทั่วโลกจริง ๆ

    กระผม/อาตมภาพอยากจะบอกว่าเกิดจากสองสาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกก็คือ ไม่ว่าลูกคนหรือว่าลูกสัตว์ จะต้องมีความน่ารักถึงจะได้รับความเมตตาจากผู้ที่อยู่ร่วมฝูงซึ่งเป็นสัตว์โตแล้ว หรือว่าได้รับความเมตตาจากสัตว์หรือว่าคน ไม่เช่นนั้นแล้วก็ไม่สามารถที่จะเอาตัวรอดได้ เนื่องเพราะว่าถ้าน่าเกลียดน่าชัง ถ้าไม่โดนในฝูงของตนเองกำจัดทิ้งไป ก็จะโดนคนหรือว่าสัตว์อื่นกำจัดไปเอง

    ดังนั้น..เราจะเห็นว่าคำว่า กุมาร (กุ-มา-ระ) หรือว่า กุมารี ที่หมายถึงเด็กหญิงเด็กชายนั้น กล่าวรวมไปแล้วก็รวมทั้งลูกคนและลูกสัตว์เอาไว้ด้วย คำว่า กุ ธาตุ แปลว่า ในความเกลียด มาระ แปลว่า ผู้ฆ่า กุมารหรือว่ากุมารีในเพศหญิง จึงแปลว่า ผู้ฆ่าซึ่งความเกลียด ก็คือน่ารักนั่นเอง ดังนั้น..ในส่วนนี้ของธรรมชาติ ส่วนหนึ่งก็คือสัตว์นั้นต้องน่ารักตั้งแต่เล็ก ๆ จึงจะสามารถเอาชีวิตรอดเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาได้

    อีกส่วนหนึ่งก็คือ จิตใจของบุคคลทั้งหลายนั้นมีเมตตากรุณาเป็นปกติอยู่แล้ว โดยเฉพาะถ้าท่านทั้งหลายเมตตาต่อสัตว์ แล้วรู้จักสังเกตจะเห็นว่า ความเมตตาต่อสัตว์ของเรานั้นสามารถกระทำได้ง่าย แล้วขณะเดียวกันก็มีความกว้างขวางมากกว่าการเมตตาต่อคน

    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ในการเมตตาต่อคนนั้น เรายังมีความหวังลึก ๆ อยู่ว่า เขาจะชมเชยเราบ้าง อย่างเช่นว่าเราเป็นคนดี หรือไม่ก็ยกย่องเราให้ปรากฏ ความเมตตานั้นจึงไม่ใช่อัปปมัญญาอย่างแท้จริง เพราะคำว่าอัปปมัญญานั้นหมายถึงไม่มีประมาณ แต่สำหรับบรรดาสัตว์ต่าง ๆ นั้น ส่วนใหญ่แล้วเราก็ไม่ได้หวังการตอบแทนใด ๆ เป็นการเมตตาออกจากจิตใจอย่างแท้จริง เป็นอัปปมัญญาพรหมวิหาร
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,823
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,569
    ค่าพลัง:
    +26,411
    ดังนั้น..การที่ท่านทั้งหลายเห็นว่า "หมูเด้ง" เป็นสิ่งที่น่ารักน่าเอ็นดู นอกจากในความที่เป็นลูกสัตว์ ที่ฆ่าเสียซึ่งความเกลียดชังในจิตในใจของเราแล้ว อีกส่วนหนึ่งก็คือสภาพของพรหมวิหาร ๔ ในใจของเรานั้น เป็นไปโดยอัปปมัญญา แม้ว่าท่านจะรู้หลักธรรมในพระพุทธศาสนาหรือว่าไม่รู้ ปฏิบัติตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนาหรือว่าไม่ปฏิบัติก็ตาม แต่สิ่งที่ออกจากจิตใจของท่านนั่นก็คือความเมตตาในพรหมวิหารทั้ง ๔ นั่นเอง จึงทำให้ "หมูเด้ง" กลายเป็น "ไวรัล" ที่โด่งดังไปทั่วโลก

    การที่เรารู้สึกว่าบุคคลอื่นมีการกระทำที่น่ารัก ยังเป็นการมองในแง่บวก อย่างเช่นการช่วยเหลือบุคคลที่ตกทุกข์ได้ยากจากน้ำท่วมของเรา บุคคลส่วนหนึ่งก็ทำงานทำการของตนเอง อย่างไม่เห็นแก่กินไม่เห็นแก่นอน ไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก แต่ก็ยังมีบุคคลอีกประเภทหนึ่งที่ไม่เห็นคุณงามความดีทั้งหลายเหล่านั้น ซึ่งสื่อต่าง ๆ ใช้คำว่า "คอยแซะ"

    บุคคลทั้งหลายเหล่านี้เป็นบุคคลที่มองโลกในแง่ลบ จิตใจมืดบอด น่าสงสารมาก ถ้าไม่สามารถขัดเกลาจิตใจของตนเองให้มองโลกในแง่บวก เห็นคุณงามความดีของผู้อื่นแล้วชื่นชมอนุโมทนา สร้างกุศลเพิ่มขึ้นให้กับจิตใจของตนเองแล้ว บุคคลเหล่านั้นก็มีหวังที่จะลงสู่อบายภูมิมากกว่าที่จะไปสู่สุคติภูมิ..!

    จึงขอโอกาสที่ได้กล่าวถึงเรื่องของการช่วยเหลือน้ำท่วมนี้ ไม่ว่าจะเป็นส่วนภาคเหนือของไทยก็ดี หรือว่าน้ำท่วมในประเทศจีน ประเทศพม่า ประเทศลาวและประเทศเวียดนามก็ตาม ขอเอาใจช่วยให้ท่านทั้งหลายที่เดือดร้อนอยู่ ได้พ้นจากความทุกข์ยากเดือดร้อนและได้รับความช่วยเหลือโดยไว แล้วขณะเดียวกัน ก็ขอให้พ้นจากภัยภิบัติจากกรรมเก่าทั้งหลายเหล่านั้นโดยเร็ว

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอังคารที่ ๑๗ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...