เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๗ กันยายน ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 7 กันยายน 2024.

  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,823
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,569
    ค่าพลัง:
    +26,411
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๗ กันยายน ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,823
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,569
    ค่าพลัง:
    +26,411
    วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๗ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ ตรงกับวันขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๑๐ วันเสาร์ ๕ พวกเราแม้ว่าจะแบ่งสันปันส่วนงานกันขนาดไหนก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นก็ทำให้ต้องแก้ไขระหว่างหน้างานกันทั้งนั้น ซึ่งจะเป็นปัญหาที่จะเจอกันทุกงาน มากบ้างน้อยบ้าง

    คราวนี้การที่เราทำงานและแก้ไขปัญหาระหว่างหน้างานนั้น ทำอย่างไรที่เราจะรักษาอารมณ์ของตนเองเอาไว้ได้ พูดง่าย ๆ ก็คือไม่เกิด รัก โลภ โกรธ หลง ขึ้นมา เนื่องเพราะว่าการรักษาอารมณ์ใจของพวกเราไม่ให้ รัก โลภ โกรธ หลง เกิดขึ้นนั้น ถือว่าเป็นหน้าที่สำคัญที่สุด

    กระผม/อาตมภาพเองสมัยที่ช่วยงานพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ อยู่ ทั้งตอนเป็นฆราวาสและตอนเป็นพระ อาศัยว่าเป็นคนที่มีความรู้สึกไว รู้ตัวเร็ว แล้วพยายามหาทางแก้ไขเสมอ เนื่องเพราะจากที่ท่านเห็นว่า มีคนจำนวนมากมาร่วมงาน อยู่ในระดับหลายพันคน แต่ยังไม่ได้เศษเสี้ยวของบุคคลที่ไปหาหลวงพ่อวัดท่าซุง เพราะว่าของท่านมาตรฐานก็คือประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ คนต่องาน..!

    ที่เคยหนักที่สุดก็คือ ช่วง
    วันเสาร์จัดงานเป่ายันต์เกราะเพชร แล้ววันอาทิตย์เป็นงานประจำปี เพราะว่าบุคคลแทนที่จะกลับก็อยู่รองานกันต่อไป ตอนนั้นศาลา ๑๒ ไร่ยังสร้างไม่เสร็จ ญาติโยมทั้งหลายนอนกันเกลื่อนกลาดไปหมด โดยไม่ได้สนใจว่าสิ่งก่อสร้างนั้นจะสะอาดหรือว่าสกปรก บรรดาชาวบ้านไปเหมาร้านขายของเก่า ซื้อกระดาษหนังสือพิมพ์มากิโลกรัมละ ๖ สลึง ขายให้เขาปูนอนฉบับละ ๕ บาท..!

    แม้ว่าตัวกระผม/อาตมภาพเองจะตั้งใจภาวนาจนอารมณ์ใจทรงตัวเต็มที่แล้วก็ตาม แต่เวลาทำงานก็จะมีแรงกระทบอยู่ตลอดเวลา วันนี้หลายท่านก็เจอ เพราะว่าคนก็คือคนวันยันค่ำ ทั้ง ๆ ที่เป็นคนแต่ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง ช่วงเช้าก็ยังพอไหว รักษากำลังใจเอาไว้ได้ แต่พอตอนช่วงบ่าย กระผม/อาตมภาพรู้สึกว่าตัวเองเสียงดังขึ้นไปเรื่อย ๆ การเสียงดังแปลว่าเราเครียดแล้ว กำลังใจตกแล้ว เมื่อรู้ตัวก็รีบดึงเพื่อนมาทำหน้าที่ตรงหน้าหลวงพ่อท่านแทน แล้วตัวเองก็ไปห้องน้ำ ไม่ได้ไปหนักไปเบาอะไรกับใคร แต่ไปนั่งภาวนา จนกระทั่งอารมณ์ใจมั่นคงแล้วถึงออกมาสู้กับงานอีกรอบหนึ่ง เพื่อนฝูงก็คงคิดว่าแวะไปหาข้าวกินมา แต่ความจริงเป็นอาหารใจที่สำคัญกว่าอาหารกายหลายเท่า..!

    และนั่นเป็นต้นเหตุให้กระผม/อาตมภาพออกธุดงค์ครั้งแรก เพราะพิจารณาแล้วว่าตนเองยังมีเมตตาไม่เสมอกัน พรหมวิหาร ๔ เราต้องทำจนเป็นอัปปมัญญา ก็คือเสมอหน้ากัน ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง กระผม/อาตมภาพสังเกตว่า ตนเองยังมีการดูว่าคนนี้คนรวย คนนี้คนจน คนนี้สวย คนนี้ไม่สวย ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็เลยทำให้กำลังใจที่จะเมตตาคนอื่นนั้นไม่เท่ากันไปด้วย..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,823
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,569
    ค่าพลัง:
    +26,411
    คราวนี้การฝึกเมตตาพรหมวิหารไม่ใช่ว่าไม่เคยฝึก เคยฝึกถึงขนาดต้องไปขอข้าวรุกขเทวดากิน สรุปก็คืออดมากกว่าได้ เพราะว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านบอกว่าอย่าเพิ่งออกป่า เราต้องขอข้าวเทวดากินได้ก่อนถึงจะประกันความเสี่ยงได้ ท่านให้ขอกับต้นไม้หน้ากุฏินั่นแหละ ถ้าหากว่าขอไม่ได้เราก็ยังมีโรงครัวให้อาศัย ถ้าเข้าป่าไปทีเดียวแล้วขอไม่ได้ก็แปลว่าอด..!

    ซักซ้อมอยู่เป็นเวลานานมาก วันแรก ๆ ก็รักษาสภาพจิตเอาไว้ ผ่องใสมาก หมูหมากาไก่ จิ้งจก ตุ๊กแกที่ไหนก็ยิ้มให้ได้หมด พอวันที่ ๒ ก็ทะร่อทะแร่เหมือนนกปีกหัก อย่างกับคนแบกข้าวสารกระสอบละ ๑๐๐ กิโลกรัม

    ยังไม่ทันจะวันที่ ๓ เต็มวันก็ตกแอ้ก..! พังเรียบร้อย หลวงพ่อท่านบอกว่า เราต้องแผ่เมตตาให้ได้ต่อเนื่องอย่างน้อย ๓ วันโดยไม่บกพร่อง ถึงจะขอข้าวเทวดากินได้

    ในเมื่ออยู่ในสถานที่ของตนเองแล้วฝึกหนักขนาดนั้น ยังไม่สามารถที่จะรักษาอารมณ์ไว้ได้ทั้งวัน ก็เหลือทางเดียวคือออกป่า แต่ปรากฏว่าป่าที่ลาหลวงพ่อท่านไปธุดงค์นั้น เป็นป่าใหญ่ที่ต่อเนื่องระหว่างสุโขทัยกับลำปาง เป็นป่าดงดิบที่ค่อนข้างจะดุมาก เอาแค่ทากอย่างเดียว ขนาดเราวิ่ง ๆ ยังเกาะจนเต็มขา เรื่องสัตว์อื่นไม่ต้องไปพูดถึง มากจนเหมือนอย่างกับคอกวัวคอกควายของเรา..!

    ด้วยความที่ป่าดุจนเกินไป แทนที่จะได้ตัวเมตตามา กำลังใจก็เลยกระโดดข้ามขั้น กลายเป็นสังขารุเปกขาญาณแทน ปล่อยวางจนหมดเลย เพราะว่าเดินไปก็มีความรู้สึกเหลืออยู่อย่างเดียวว่า "ตายแน่..ตายแน่" ก็คือพื้นที่ทุกตารางนิ้วมีแต่รอยเท้าสัตว์ เหมือนอย่างกับเวลาเรามองเข้าไปในคอกวัวคอกควาย มีแต่รอยเท้าแน่นไปหมด แบบนั้นเลย

    คราวนี้พวกท่านทั้งหลายถ้าหากว่าจะฝึกฝนตรงนี้ ต้องหมั่นสังเกตกำลังใจตัวเอง เวลาเราสั่งหรือว่าดุแล้วญาติโยมไม่ทำตาม อารมณ์ใจเราขุ่นมัวหรือเปล่า ? ไม่ต้องสงสัย..เจ๊งกะบ๊งกันหมด..! ถึงข้างนอกรักษาฟอร์มเอาไว้ได้ก็เจ๊ง ไฟไหม้อยู่ข้างในแล้ว..!

    ก็เหลืออยู่ทางเดียวก็คือ ทำอย่างไรที่จะสลัดอารมณ์เหล่านี้ออกจากใจของเราให้ได้เร็วที่สุด ก็ต้องใช้ปัญญาพิจารณาแยกแยะว่า ปกติธรรมดาของคนเราก็เป็นเช่นนั้น บุคคลที่กำลังใจต่ำ มากไปด้วยความมืดบอด บอกอะไรก็รับรู้ไม่ได้ หรือว่าฟังไม่รู้เรื่อง เอาแต่กำลังใจหรือว่าความชอบใจของตนเองเป็นใหญ่ พยายามพิจารณาให้เห็นชัดว่า ปกติธรรมดาของเขาเป็นเช่นนั้น
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,823
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,569
    ค่าพลัง:
    +26,411
    เราเองก็เป็นเช่นนั้นมาก่อน ตอนนี้เราก้าวข้ามไปแล้ว เขาทั้งหลายเป็นผู้มารับช่วงความเลวของเราไป แบก รัก โลภ โกรธ หลง ที่เราเคยแบกเอาไว้แทน ก็แปลว่าเขาเหล่านั้นก็คือทายาท คือผู้รับมรดกไปจากเรา เท่ากับว่าเป็นลูกเป็นหลานของเรานั่นเอง เราเคยเป็นอย่างนั้นมาก่อน ตอนนี้ลูกหลานเป็นแบบนั้นบ้าง แทนที่เราจะไปโกรธไปเคืองเขา ก็สงสารเขาเถอะ ถ้ามีโอกาสแล้วค่อยชี้แจงให้เขาทราบว่า สิ่งที่ถูกต้องนั้นเป็นอย่างไร

    ถ้าหากว่าเราท่านทั้งหลายคิดไม่เป็น ชำระใจของตนให้ รัก โลภ โกรธ หลง หลุดออกไปไม่เป็น ก็จะเกิดประสบการณ์อย่างที่แทบทุกคนเกิด ก็คือ "เก็บกด" ค่อย ๆ สะสมเอาไว้ แล้วความซวยจะไปเกิดกับคนสุดท้ายที่เข้ามาถึง เมื่อเก็บกดมากเข้า ๆ ก็เหมือนกับลูกโป่ง โดนเป่าลมอัดเข้าไปจนเต็มที่แล้ว คนสุดท้ายแค่มาสะกิดนิดเดียว ก็ระเบิดตูมใส่หน้าเขาไปเลย..! คนที่โดนก็จะงงมากว่า "อะไรวะ ? แค่นี้ต้องโกรธขนาดนี้ด้วยหรือ ?" แต่ความจริงบางทีเราเก็บกดมาเป็นเดือน ๆ แล้ว


    ดังนั้น..ถ้าหากว่าไม่อยากเกิดอาการจิตตก สมาธิตก กรรมฐานแตก เพราะว่าเก็บกด รัก โลภ โกรธ หลง เอาไว้ ก็ต้องใช้ปัญญาคิดให้เป็น สลัดออกไปให้ได้ ที่บาลีใช้คำว่า จาโคก็คือละออกไป ปฏินิสสัคโคคือสลัดทิ้งไป ถึงจะมุตติ หลุดพ้น อนาลโย ปราศจากความห่วงหาอาลัยอีก

    ดังนั้น..การทำงานแต่ละครั้งแต่ละงาน สิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งต้องสังเกตเลยคือกำลังใจของเรา งานนี้กำไรหรือว่าขาดทุน เสมอตัวยากมาก ส่วนใหญ่ไม่กำไรก็ขาดทุน ถ้ากำไร ได้มากหรือน้อย ? ถ้าหากว่าขาดทุน เราสามารถยืดระยะได้มากกว่าครั้งที่แล้วหรือว่าน้อยกว่าครั้งที่แล้ว ? ต้องสังเกตให้เป็น ต้องดูให้ออก แล้วค่อย ๆ แก้ไขไป


    ถ้าตราบใดที่เราดูใจตัวเองไม่ได้ อ่านใจตัวเองไม่ออก เราจะหาความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมไม่ได้เลย เพราะว่าไปรอคนอื่นเขาบอกก็เป็นเรื่องยาก เนื่องเพราะว่าทุกคนก็รักแต่ตัวเอง กลัวว่าถ้าพูดไปแล้วเราจะโกรธจะเคืองเขา เราก็เลยไม่มีกระจกที่จะมาส่องให้เห็นภาพพจน์ที่น่าเกลียดของตนเอง จึงต้องคอยพินิจพิจารณาดู แล้วก็พยายามที่จะชำระใจให้สะอาดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้


    ถ้าทำอย่างนี้ได้ เราจะทำงานด้วยความสนุกมาก เพราะจะต้องคอยดูว่า งานนี้เราจะยืนระยะได้มากกว่าครั้งที่แล้วหรือเปล่า ? เจอแรงกระทบแล้ว เราพังง่ายกว่าเดิม หรือยังสามารถที่จะต่อต้านได้ ? แต่ละงานกำไรหรือขาดทุน ? เหล่านี้เป็นต้น ก็แปลว่าในแต่ละงานคือการที่เราสั่งสมประสบการณ์ในการขัดเกลา กาย วาจา ใจ ของตนเอง อาศัยงานพัฒนาตัวเอง จนกระทั่งท้ายที่สุด เราก็สามารถยืนหยัดต่อสู้ รัก โลภ โกรธ หลง ได้โดยไม่เพลี่ยงพล้ำ ก็เหลืออยู่อย่างเดียวว่าจะสลัดตัดทิ้งไปได้เมื่อไร


    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันเสาร์ที่ ๗ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กันยายน 2024

แชร์หน้านี้

Loading...