รูปหล่อหลวงพ่อโสธรสนามหลวง เหรียญสัมพุทโธโภคทรัพย์หลวงปู่พล

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.

  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,104
    ค่าพลัง:
    +21,386
    4v946.jpg FB_IMG_1744788014687.jpg
    พระคู่บารมีหลวงปู่เครื่องวัดเทพสิงหาร
    เหรียญหลวงปู่ดี ฉันโน
    ท่านดังมากใน USA ครั้งเมื่อที่เกิดเหตุการณ์ที่ซุปเปอร์มาเก็ตแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา เมื่อมีโจรถือปืนบุกเข้ามาปล้นแต่เจ้าของร้านต่อสู้ โจรเลยกระหน่ำยิงไม่ยั้ง แต่เกิดเหตุการณ์ที่เสียงปืนมีเสียงแชะๆ ปืนด้านสับไม่แตก เจ้าของร้านกลับรอดตาย
    ๏ ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่ดี ภัทธิโย ๏
    หลวงปู่ดี ภัทธิโย วัดป่าหิมพานต์ (สำนักวิปัสสนากัมมัฏฐานภัทธิโย) อ.กุดข้าวปุ้น จ.อุบลราชธานี พระภิกษุสงฆ์แต่อดีตนั้น ท่านนิยมศึกษาเล่าเรียนวิชาอาคม เวทวิทยา ทั้งยังมีคาถา คุณไสย ศาสตร์มากมายหลายชนิด ล้วนแล้วเป็นวิชาอันเร้นลับและเป็นวิชาของฝ่ายโลกีย์ทั้งสิ้น หลวงปู่ดี ภัทธิโย ท่านก็เคยศึกษาเล่าเรียนมาตามประเพณีนิยมของพื้นบ้านเช่นกัน
    ในจังหวัดอุบลราชธานี ถ้าจะพูดถึงเรื่องคาถาอาคม เวทมนตร์ต่างๆแล้ว นับว่ามีมากแทบทุกท้องถิ่น
    แต่เมื่อถึงยุคของพระธุดงค์ บิดาผู้จุดประทีปธรรมกรรมฐาน ได้ปรากฏขึ้น ๓ องค์ พร้อมๆกัน จะด้วยกําลังจิตและแรงสนับสนุนใดๆ ก็ถือว่าเป็นบิดาผู้เปิดประตูใจของกุลบุตรผู้มีปัญญา ท่านคือ หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล, หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต, ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท)
    บิดาแห่งพระกรรมฐาน ๓ องค์นี้ ท่านได้พยายามฝึกสอนลูกศิษย์ที่เป็นเพศบรรพชิต คือ สร้างบุคคลธรรมดาๆ ให้เป็นอริยบุคคล จนปรากฏผลแห่งคุณภาพมากมายนับพันๆองค์ ซึ่งศิษย์เหล่านั้นก็รวม หลวงปู่ดี ภัททิโย ด้วยองค์หนึ่ง
    หลวงปู่ดีได้พยายามศึกษา หาความรู้จริงในธรรมะ จนสามารถเอาตัวรอดได้ในที่สุดนั้น ก็เพราะได้พลิกจิตใจดําเนินตามข้อวัตร ปฏิบัติตามคําสั่งสอนในหลักสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน จากหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต บิดาแห่งกองทัพธรรมในอดีต
    หลวงปู่ดี ภัทธิโย ท่านเกิด เมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๕ ตรงกับปีชวด
    บิดาชื่อ นายสาน มารดาชื่อ นางเคี่ยม มีอาชีพทํานาค้าขาย
    อายุ ๑๔ ปี บิดามารดาได้พร้อมใจกันนําบุตรชายไปบรรพชา เป็นสามเณร ณ วัดใกล้บ้าน เพื่อ จะได้ศึกษาเรียนหนังสือและ ธรรมวินัย ซึ่งก็สามารถเรียนรู้ ได้เร็วอ่านออกเขียนได้ตามสติ ปัญญา
    อายุได้ ๒๐ ปีเต็ม ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์ โดยสมบูรณ์ ณ วัดโพธิ์ไทร โดย หลวงพ่อหัน แห่งวัดโพธิ์ไทรเป็นพระอุปัชฌาย์
    เมื่อบวชเป็นพระภิกษุแล้ว ท่านได้ศึกษาธรรมสอบได้นักธรรมเอก
    หลังจากสอบนักธรรมแล้ว ท่านก็หันเหชีวิตออกปฏิบัติเดินธุดงค์เข้าป่าดงผ่านเส้นทางของ ผู้สละเรือน ออกสู่ความวิเวกไป ประเทศเขมร ลาว พม่า
    ท่านบุกป่าไปหลายแห่ง ผจญกับอุปสรรคนานัปการ ได้พบกับครูบาอาจารย์และพระสหธรรมิก มากมายหลายองค์ดังปรากฏต่อ มาดังนี้
    ๑. ได้ไปพบ พระอาจารย์เกตุ แห่งประเทศลาว ได้ศึกษาวิชาเวทมนตร์ และกสิณต่างๆ จน แก่กล้า
    ๒. ได้เรียนสมถะและวิปัสสนากรรมฐานกับ หลวงปู่ มั่น ภูริทัตโต สามารถเอาตัวรอดได้
    ๓. ได้พระสหธรรมิกรุ่นพี่ หลวงปู่เครื่อง ธัมมจาโร เป็นผู้ปรึกษาและช่วยเหลือกันในยาม ทุกข์ยากขณะเดินธุดงค์ร่วมกัน
    หลวงปู่ดี ภัทธิโย ท่านเป็นพระผู้มีความสงบ สันโดษมักน้อย ผู้คนน้อยนักจะรู้จักท่าน ด้วยเหตุของความพึงมีพึงได้ ได้แล้วไม่สะสมไม่ติดในสภาวะให้เป็นธุลี ปิดบังหนทางปฏิบัติธรรม
    หลวงปู่ดี ภัทธิโย เคยเดินทางเข้ามายังกรุงเทพฯ พร้อมกับหลวงปู่เครื่อง
    เมื่อมาถึงก็ต้องรีบกลับทั้งสององค์ กล่าวคือ มองเห็นความวุ่นวายอันเกิดจากมายาการปรุง แต่ง ไม่เป็นไปโดยธรรมชาติ เห็นมนุษย์ผู้โลภ ผู้หลง ก็ต้องวางใจ เพราะไม่สามารถพูดภาษาธรรมต่อกันได้
    แต่คนป่าคนดง เมื่อสอนให้ รักษาศีลเขาก็อยู่ในขอบเขต แต่ที่มาพบนี่รับศีลแล้วก็นั่งโกหก อยู่ได้ต่อหน้าของท่าน พูดเพ้อเจ้อ ฟุ้งซ่าน สอนธรรมะก็ไม่หลั่งไหลเข้าจิตใจเลย ดุจการตักน้ําใส่ภาชนะที่คว่ําไว้ฉะนั้น…
    หลังจากเดินธุดงคกรรมฐานมาเป็นเวลาหลายสิบปี ท่านจึงกลับบ้านเกิดและมาสร้างสํานัก สงฆ์ขึ้น คือ วัดป่าหิมพานต์ เพราะมีสภาพที่สงบสงัด เหมาะแก่การเจริญศีล สมาธิ ปัญญา อีก ทั้งมีต้นไม้ปกคลุมเป็นธรรมชาติที่เยือกเย็นเมื่อพบเห็น
    วัดป่าหิมพานต์ ตั้งอยู่ ณ บ้านหนองบัว อ.กุดข้าวปุ้น จ.อุบลราชธานี
    เส้นทางธรรมดังกล่าวนี้ ยินดีต้อนรับผู้แสวงหาความสงบ วิเวก ไม่ยากแก่การเดินทางไป แม้จะลําบากทางกายแต่จิตใจเบิกบาน
    ทั้งนี้วัดป่าหิมพานต์ดินแดน ห่างไกลความเจริญ เป็นดินแดน แห่งธรรมะ เหมาะแก่การบําเพ็ญ ภาวนาเพื่อจิตพ้นจากทุกข์ของ เราทุกคน
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญหลวงปู่ดี ปี ๒๕๒๐
    ให้บูชา 220 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250416_140753.jpg IMG_20250416_140826.jpg
     
  2. shaj

    shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    8,085
    ค่าพลัง:
    +7,061
    ขอจองครับ
     
  3. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,104
    ค่าพลัง:
    +21,386
    วันนี้จัดส่ง

    1744811247736.jpg

    ขอบคุณครับ
     
  4. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,104
    ค่าพลัง:
    +21,386
    FB_IMG_1744816199868.jpg

    หลวงพ่อผัน วัดราษฎร์เจริญ(วัดแปดอาร์) ต.หนองแขม อ.หนองแค จ.สระบุรี หลวงพ่อผัน (พระครูสรกิจพิจารณ์) ท่านเกิดเมื่อวันศุกร์ที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๔๕๔ ปีกุน ณ บ้านหนองแขม หมู่ ๑ ต.หนองแขม อ.หนองแค จ.สระบุรี อุปสมบทเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๔๗๔ ณ พัทธสีมาวัดหนองโสน ต.สนับทึบ อ.วังน้อย จ.พระ นครศรีอยุธยา โดยมี พระครูนิเทศธรรมคาถา วัดบ้านสร้าง เป็นพระอุปัชฌาย์ เจ้าอธิการจาด วัดวงษ์สวรรค์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการหนู วัดบ้านสร้าง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า "จิณฺณธมฺโม" หลังจากนั้นได้มาจำพรรษาที่วัดราษฎร์เจริญ ในช่วงที่ หลวงพ่อผัน เข้ารับตำแหน่งเจ้าอาวาสครั้งแรก สภาพของวัดราษฎร์เจริญทรุดโทรมอย่างหนัก อาคารเสนาสนะต่างๆ ชำรุดมาก หลวงพ่อก็ได้บูรณปฏิสังขรณ์จนดีขึ้นตามลำดับ และมีความเจริญรุ่งเรืองครบถ้วนสมบูรณ์ในทุกๆ ด้าน หลวงพ่อผัน เป็นพระเถราจารย์ผู้มีประพฤติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบมาโดยตลอด และปฏิบัติกิจการพระศาสนาอย่างถูกต้อง อีกทั้งท่านยังมีเมตตาธรรมใน การปกครองคณะสงฆ์ งานด้านต่างๆ เช่น งานสาธารณูปการณ์ การก่อสร้างศาสนวัตถุต่างๆ ภายในวัด ท่านก็ได้เป็นผู้นำดำเนินการก่อสร้างเพื่อประโยชน์แก่พระศาสนาและพุทธ ศาสนิกชนมากมาย เช่น ก่อสร้างอุโบสถ ศาลาการเปรียญ หอสวดมนต์ วิหารกุฏิ ฌาปนสถาน ซุ้มประตูหน้าวัด กำแพงรอบวัด เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการใช้สอยและความสวยงาม ร่มรื่นเป็นระเบียบเรียบร้อยในทุกๆ ด้าน นอกจากนี้ ท่านยังได้สนับสนุนในการก่อสร้างอาคารเรียนของ โรงเรียนวัดราษฎร์เจริญ เพื่อประโยชน์แก่ลูกหลานชาวบ้าน ตลอดทั้งให้ความเอื้อเฟื้อแก่ชุมชนชาวบ้านทุกครัวเรือน หลวงพ่อผันเป็นพระสุปฏิปัณโณ ผู้มีเมตตาธรรมสูง มีศีลบริสุทธิ์ ปฏิบัติกิจของพระศาสนาอย่างดีเยี่ยม จนเป็นที่เคารพนับถือของพุทธศาสนิกชนทั่วไปทั้งใกล้และไกล และที่สำคัญอย่างยิ่งคือ หลวงพ่อผัน ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากท่านหนึ่งของ จ.สระบุรี ที่พุทธศาสนิกชนทั่วไปให้ความเคารพนับถือ และเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างมาก หลวงพ่อปฏิบัติตัวเป็นพระของ ชาวบ้านอย่างแท้จริง ไม่ถือตัว ไม่เลือกชั้นวรรณะ เวลามีญาติโยมมานิมนต์ให้ท่านไปงานบุญกุศลต่างๆ ท่านจะสนองศรัทธาถ้วนทั่วทุกบ้านเรือน โดยไม่ถือว่าจะเป็นบ้านของคนมั่งมี หรือบ้านของคนยากจน ท่านให้ความเสมอเหมือนกันหมด ส่วนจตุปัจจัยที่ท่านได้รับ จากการที่มีผู้ศรัทธาถวาย ท่านจะนำมาก่อสร้างถาวรวัตถุ เสนาสนะต่างๆ ภายในวัดราษฎร์เจริญ จนหมดสิ้น ไม่เก็บสะสมไว้เป็นสมบัติส่วนตัวแต่ประการใด จึงทำให้วัดมีความมั่นคงอยู่จนทุกวันนี้ หลวงพ่อได้ละสังขารไปเมื่อ วันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๔๘สิริรวมอายุ ๙๔ ปี และได้เกิดปาฏิหาริย์พิเศษ คือ สรีระของหลวงพ่อ ไม่ปรากฏอาการเน่าเปื่อยแต่อย่างไร กลับแข็งเหมือนหิน มีลักษณะเป็นสีขาวเหมือนแป้ง ขณะเดียวกัน ได้ปรากฏในเวลาต่อมาว่า ทั้งเส้นผม และเล็กมือเล็บเท้าของหลวงพ่อได้งอกยาวออกมาจากเดิมอีกด้วย วัดจึงเก็บรักษาสรีระของหลวงพ่อไว้ในหีบแก้ว โดยตั้งบำเพ็ญกุศลเพื่อให้ศรัทธาสาธุชนทั่วไปสักการบูชาจนถึงทุกวันนี้ ในส่วนวัตถุ มงคล หลวงพ่อผัน ท่านได้สร้างไว้หลายรุ่น ล้วนมีความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ในทุกๆ ด้าน ที่นิยมกันมาก คือ เหรียญรุ่นแรก ปี ๒๕๐๕ เป็นเหรียญเสมา รูปหลวงพ่อนั่งสมาธิเต็มองค์ ออกเนื่องในโอกาสได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ และเหรียญที่สร้างความโด่ง ดังให้หลวงพ่อมากเป็นพิเศษ คือ เหรียญรุ่นแทงคอหมู เป็นเหรียญรูปหลวงพ่อนั่งสมาธิเต็มองค์ อยู่ในซุ้มใบเสมา คล้ายๆ กับเหรียญรุ่นนั่งพานของพระเกจิอาจารย์บางท่าน เหรียญนี้ออกในโอกาสบูรณปฏิสังขรณ์วัด ปีใดไม่แน่ชัด สาเหตุที่ได้เรียกเหรียญรุ่นนี้ว่า "รุ่นแทงคอหมู" เนื่อง มาจากสมัยที่เหรียญรุ่นนี้ออกให้ทำบุญใหม่ๆ มีชาวบ้านคนหนึ่งได้รับเหรียญนี้มา แล้วเอาเหรียญใส่ไว้ในซองยาทัมใจ จากนั้นจึงเอาซองยาใส่ลงในกระเป๋าเสื้อตัวเอง ชาวบ้านคนนี้มีหน้าที่แทงคอหมู เพื่อชำแหละส่งขายตลาด วันนั้นหลังจากได้รับเหรียญหลวงพ่อผันแล้ว ก็ยังคงทำหน้าที่เพชฌฆาตตามปกติ ขณะที่เขาแบกหมูเอาไว้บนบ่า แล้วเหวี่ยงตัวหมูลงบนโต๊ะ เพื่อที่จะฆ่านั้นเอง ซองยาในกระเป๋าเสื้อของเขา ได้หลุดลอยตกลงบนโต๊ะฆ่าหมูก่อนแล้ว ทำให้ตัวหมูทับซองยานั้นพอดี จากนั้นเขาได้เอามีดปลายแหลมแทงเข้าที่คอหมู เหมือนอย่างที่เคยทำมาเป็นประจำ แต่วันนั้น...เกิด เหตุการณ์ประหลาด เพราะปลายมีดอันคมกริบ ไม่สามารถจะแทงคอหมูเข้าได้เลย จึงเปลี่ยนมุมแทงอีกด้านหนึ่ง ก็ปรากฏแทงไม่เข้าเหมือนเดิม เขาแปลกใจมาก จึงพลิกตัวหมูขึ้นมา ก็พบกับ ซองยาทัมใจที่ใส่เหรียญหลวงพ่อผัน ตกอยู่ใต้ตัวหมู จึงรู้ได้ทันทีว่า ที่แทงคอหมูไม่เข้า เพราะเหรียญหลวงพ่อผัน นี่เอง ตกลงว่า หมูตัวนั้น...รอดตายราวปาฏิหาริย์ และที่น่ายินดีอีกอย่าง คือ ชายคนนั้นเลิกอาชีพฆ่าหมูอีกต่อไป ปาฏิหาริย์เรื่อง "แทงคอหมู" ของ เหรียญหลวงพ่อผัน รุ่นนี้ลือกระฉ่อนไปทั่วหมู่ลูกศิษย์ และผู้เคารพศรัทธาในหลวงพ่อผัน ต่อมาได้ขยายสู่แวดวงนักสะสมพระเครื่องโดยทั่วไป จนทุกวันนี้ เหรียญรุ่นแทงคอหมู กลายเป็นเหรียญหายาก และมีราคาเช่าหาแพง อีกเหรียญหนึ่งของ...พระเกจิอาจารย์ดังแห่งเมืองสระบุรี
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญเสมาหลวงพ่อผันออกวัดวงษ์สวรรค์ปี๒๕๓๗ ให้บูชา 130 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาท

    IMG_20250416_140939.jpg IMG_20250416_141007.jpg
     
  5. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,104
    ค่าพลัง:
    +21,386
    FB_IMG_1744874945948.jpg FB_IMG_1744874956697.jpg

    เหรียญสัมพุทโธโภคทรัพย์หลวงปู่พล วัดหนองคณฑี
    พระพุทธบาทสระบุรี
    คุณจักร ฯ กับ คุณศาสน์ ฯ
    เล่าเรื่องเกี่ยวกับพระเดชพระคุณพระอริยสงฆ์ ที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านเรียกว่า พระสุปฏิปันโน มาหลายองค์แล้ว ชักจะเบื่อ ๆ ลองมาเปลี่ยนบรรยากาศติดตามเรื่องของฆราวาส ๒ ท่านดูบ้าง คือ เรื่องของ คุณจักร ฯ กับ คุณศาสน์ เดี๋ยวพอให้คลายหายง่วงหายเหงา แล้วค่อยกลับเรื่องไปคุยถึงหลวงพ่อ ฯ หลวงปู่องค์อื่น ๆ กันอีกก็แล้วกันนะครับ
    ในสมัยที่ผมได้มาพบกับหลวงพ่อ ฯ ของเรานั้น ผมมียศเป็นร้อยตำรวจเอก แต่ได้รับเกียรติยศเป็นอย่างสูง ให้ไปช่วยราชการอยู่ที่กองยุทธการ กองบัญชาการทหารสูงสุดส่วนหน้า (ปัจจุบันเรียกชื่อใหม่ว่า “ศูนย์อำนวยการร่วม กองบัญชาการทหารสูงสุด”)
    ทั้งนี้ เป็นความกรุณาอย่างยิ่งของท่าน พล.อ. ทวนทอง สุวรรณทัต อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งในขณะนั้นมียศเป็น พ.อ. ดำรงตำแหน่งหัวหน้ากองยุทธการ ท่าน พล.อ. เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ อดีตนายกรัฐมนตรี ขณะนั้นมียศ พล.ท. ดำรงตำแหน่งรองเสนาธิการกองบัญชาการทหารสูงสุดส่วนหน้า ท่าน พล.อ.อ. ทวี จุลละทรัพย์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด ขณะนั้นดำรงตำแหน่งเสนาธิการทหาร และท่าน พล.อ. ทำเนียบ ทับมณี รองประธานคณะเสนาธิการ กองอำนวยการกลางรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ขณะนั้นยศ พ.ท. ดำรงตำแหน่งประจำกองยุทธการ
    ความจริงนอกจากผู้หลักผู้ใหญ่ทางฝ่ายทหารจะได้กรุณาผมดังกล่าวแล้ว ท่านผู้ใหญ่ทางตำรวจที่ให้ความกรุณาเป็นอย่างยิ่งกับผมในครั้งนั้นก็มี คือ ท่าน พล.ต.ท. ประเนตร ฤทธิ์ฤาชัย อดีตผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ ขณะนั้นยศ พล.ต.ต. ตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจตระเวณชายแดน และท่าน พล.ต.อ. วสิฏฐ์ เดชกุญชร ณ อยุธยา อดีต รมช. กระทรวงมหาดไทย ขณะนั้นยศ พล.ต.ต. ตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจตระเวณชายแดน ได้ช่วยเหลือและชักชวนให้ผมไปช่วยราชการที่กองบัญชาการตำรวจตระเวณชายแดนเช่นเดียวกัน
    ผมจำได้ดีว่า ทั้งสองท่านยังได้กรุณาพาผมไปเลี้ยงอาหารที่ร้านแห่งหนึ่งแถวถนนพหลโยธิน แต่แล้วในที่สุด ด้วยความจำเป็นและความสะดวกสบายที่ได้รับมากกว่าจากทางกองบัญชาการทหารสูงสุดส่วนหน้า ผมจึงจำเป็นต้องเลือกการไปช่วยราชการอยู่กับฝ่ายทหาร ทั้งๆ ที่ความผูกพันทางใจที่ลึกซึ้งนั้นอยู่กับตำรวจตระเวณชายแดนมากกว่า
    แต่ถ้าท่านเป็นผม ก็คงจะต้องเลือกเช่นเดียวกับที่ผมเลือกไปแล้ว ก็ลองคิดดูว่าจะให้ผมเลือกทางไหน ในเมื่อขณะนั้นผมยังเดินไม่ได้ ต้องใช้ไม้เหน็บรักแร้ค้ำยันเวลาเดิน และต้องไปรักษาพยาบาลที่ ร.พ. พระมงกุฎทุกวัน ผมและภรรยาเช่าบ้านอยู่ที่ท่าดินแดงฝั่งธนบุรี ผมจะไปทำงานที่กองบัญชาการตำรวจตระเวณชายแดน ซึ่งอยู่ตรงข้ามซอยสายลม พหลโยธินได้อย่างไร จะเบียดขึ้นรถประจำทางรึ ก็คงจะไปไม่รอด ครั้นจะขึ้นรถแท็กซี่อีกรึ ก็คงจะไม่มีปัญญา
    สำหรับทางฝ่ายทหารนั้นมีขีดความสามารถในการสนับสนุนและช่วยเหลือผมได้ดีกว่ามาก กล่าวคือ ได้จัดรถยนต์รับ-ส่ง พร้อมพลขับให้ อันเป็นการดูแลและอำนวยความสะดวกตลอดจนบรรเทาความเดือดร้อนในการเดินทาง ทั้งการไปทำงานและการไปรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลพระมงกุฎ
    ดังนั้น ผมจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางที่จะสามารถดำรงชีวิตได้เอาไว้ก่อน และในระหว่างที่ผมช่วยราชการอยู่ที่กองยุทธการ กองบัญชาการทหารสูงสุดส่วนหน้านี้นั่นเอง ผมก็ได้รับความกรุณาจากท่าน พล.อ. ทวนทอง สุวรรณทัต เป็นอย่างยิ่ง โดยท่านได้กรุณาสนใจและเอาใจใส่ ให้ความสนิทสนม ให้ความคุ้นเคยประดุจบิดาซึ่งกระทำต่อบุตร
    ท่านมักเข้ามาที่ห้องทำงานของผมบ่อย ๆ นอกจากจะเข้ามาคุยเฮฮาสัพเพเหระ หรือเข้ามาสอนเรื่องหน้าที่การงานต่าง ๆ แล้ว ยังสอบถามเกี่ยวกับสาระทุกข์สุขดิบไม่เคยขาด เพราะความดีมีน้ำใจอันสม่ำเสมอของท่านนี่เอง ทำให้ท่านได้เห็นหนังสือที่เกี่ยวกับหลวงพ่อของเรา (ประวัติหลวงพ่อปาน ฯ วัดบางนมโค) ที่ผมได้พยายามซ่อนเร้นแล้วบนโต๊ะทำงานของผม
    (ความจริงก็ไม่ได้ตั้งใจซ่อนให้จริงจังอะไร เพราะไม่ได้เป็นความผิดอะไร เพียงแต่อายนิดหน่อย กลัวท่านจะหาว่าบาดเจ็บแค่นี้ถึงกับเสียอกเสียใจจนต้องเข้าหาพระหาเจ้า จึงเอาหนังสือเล่มอื่นวางทับไว้ และด้วยเกรงว่าท่านจะหาว่าเอาเวลาราชการมาอ่านหนังสืออย่างหนึ่ง และงมงายอีกอย่างหนึ่ง)
    ต่อมาท่านก็คงจะสังเกตว่า เมื่อมีเวลาว่างคราใด ผมจะต้องหยิบหนังสือของหลวงพ่อ ฯ ขึ้นมาอ่านทุกที (ส่วนใหญ่เป็นเวลาหลังอาหารเที่ยง) ท่านจึงหยิบไปเปิดอ่านดูบ้าง พลิกไปพลิกมาแล้วก็คืน ผมเดาว่าท่านคงจะมีความสนใจ ดังนั้น ถ้าผมมีหนังสือเรื่องใด ๆ ที่เกี่ยวกับหลวงพ่อ ฯ ผมจะหามาเผื่อให้ท่านด้วยอีก ๑ ชุดเสมอ หลังจากนั้นเมื่อท่านพบผม ท่านถามทำนองหยั่งเชิงผมทันทีว่า
    “คุณว่าจริงเร๊อะ” (ท่านคงจะหมายถึง เรื่องราวต่าง ๆ ในหนังสือที่หลวงพ่อเขียนเล่าเอาไว้)
    ผมก็ได้แต่มองหน้าท่านแบบยิ้ม ๆ ไม่ตอบท่านตรง ๆ ในทันที (เพราะผมก็ยังไม่แน่ใจนั่นเอง) แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมได้มีโอกาสศึกษาธรรมจากหลวงพ่อ ฯ และยังได้พบเห็นสิ่งแปลก ๆ ที่น่าอัศจรรย์ของหลวงพ่อ ฯ และเมื่อสังเกตว่าท่านมีเวลาว่างพอ ผมจึงได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับหลวงพ่อ ฯ ที่ผมได้ประสบพบมาให้ท่านฟัง ซึ่งท่านก็ฟังเรื่องที่ผมเล่าอย่างสนใจ แต่ก็ไม่ได้ข้อสรุปจากผมว่า จริงหรือไม่จริง
    ส่วนผมเองนั้นก็ไม่ทราบว่าท่านเชื่อหรือไม่เชื่อ (บุคคลในระดับนี้นั้น เด็กระดับผมชักจูงท่านไม่ได้หรอกครับ) เพราะภูมิปัญญาและความรู้ตลอดจนประสบการณ์ของท่าน สูงกว่าผมมากมายนัก
    เวลาล่วงเลยไปอีกระยะหนึ่ง ผมจึงได้ทราบว่า ท่านนั้นมีความเคารพเชื่อถือใน “หลวงปู่พล” เป็นอย่างยิ่ง สาเหตุนั้นมีอยู่ กล่าวคือ ท่าน พล.อ.ท. ลิขิต สุวรรณทัต (ยศ น.ท. สมัยนั้น) ญาติของท่านและภรรยา ได้ไปฝึกวิปัสสนากรรมฐานกับ “หลวงปู่พล” อยู่เสมอ ๆ
    สมัยนั้นทราบว่า หลวงปู่พล ฯ ท่านมักจะมาสอนกรรมฐานอยู่ที่สำนักสงฆ์แห่งหนึ่งแถว ๆ บางแค ท่านลิขิต ฯ กับภริยาก็มักจะหาโอกาสไปฝึกเสมอ และได้นำบุตรชายของท่าน ๒ คนติดตามไปด้วย คือ คุณจักร ฯ กับ คุณศาสน์ ฯ ซึ่งเมื่อท่านบิดามารดากำลังฝึกกรรมฐาน คุณจักร ฯ กับ คุณศาสน์ ฯ ก็เล่นกันอยู่ข้างนอกตามประสาเด็ก
    ครั้นเล่นจนเหนื่อยอ่อนจึงมานั่งคอยบิดามารดา และได้ยินการสอนของ หลวงปู่พล ฯ ไปด้วยโดยบังเอิญ และก็ตามประสาเด็กอีกนั่นแหละ คุณจักร ฯ กับ คุณศาสน์ ฯ ก็ชวนกันเล่นนั่งสมาธิเลียนแบบผู้ใหญ่ตามที่ได้ยินคำสอนของ หลวงปู่พล ฯ นั้น
    ปรากฏว่า ทั้ง คุณจักร ฯ และ คุณศาสน์ ฯ นั้น พอจิตเป็นสมาธิก็ได้ทิพจักขุญาณทันที สามารถเห็นเทวดา เห็นพรหม เห็นพระ และไม่ใช่เพียงแต่เห็นอย่างเดียว ยังสามารถติดต่อพูดคุยด้วยได้อีก สิ่งของต่าง ๆ ที่บ้านใคร คุณจักร ฯ และ คุณศาสน์ ฯ บอกได้หมดว่าอะไรวางอยู่ตรงไหน ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยไปที่บ้านนั้นมาก่อน
    แม้สิ่งของบางอย่างที่เจ้าของลืมไปแล้วว่าสิ่งของในกล่องที่เก็บเอาไว้นั้นเป็นอะไร ก็สามารถบอกได้เลยว่าสิ่งของนั้นเป็นอะไร ทีนี้ท่าน พล.อ. ทวนทอง ฯ ซึ่งมีศักดิ์เป็นคุณตาท่านก็สนุกใหญ่ ท่านพา คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ไปที่บ้านของท่าน พาไปที่ห้องเก็บของ แม่จ้าวโวย...สัพเพเหระ สิ่งของกองเป็นพะเนินอยู่ในห้อง อยู่ในกล่องก็มี ห่อเอาไว้ก็มี ขี้ฝุ่นหนาปึ้ก
    ท่านเจ้าของเองก็ลืมไปหมดแล้วว่า ภายในมีอะไรบ้าง แล้วคุณตาก็ถามคุณหลานว่าห่อนั้นห่อนี้มีอะไร คุณหลานก็บอก ซึ่งเมื่อแก้กล่องหรือห่อออกมาพิสูจน์ดู ก็ตรงตามที่คุณหลานบอกเอาไว้ไม่มีผิดพลาด คุณตากับคุณหลานก็มักจะเล่นทายสิ่งของที่หมกเอาไว้จนคุณตาลืมอยู่เป็นประจำ จนคุณหลานสุดแสนจะเบื่อหน่าย แต่คุณตาไม่เบื่อเลย (สมัยนั้น คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ อายุราว ๆ ๔-๕ ขวบ)
    คุณตาอยากเล่นแบบนี้ด้วยทุกวัน เพราะการทายสิ่งของดังกล่าวนี้ คุณตาสามารถท้าพิสูจน์กับใครก็ได้ว่าคุณหลานเห็นจริง ๆ นอกจากนั้น เรื่องที่ตลกและขำขันก็คือ คราวหนึ่ง คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ นึกสนุกอยากจะรู้ใจเจ้าสุนัขที่เลี้ยงเอาไว้ขึ้นมา จึงได้ผลัดกันหลอกถามเจ้าสุนัขน้อยนั้นว่า ระหว่าง คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ นั้น เจ้าหมาน้อยรักใครมากกว่า
    คำตอบของเจ้าหมาน้อยทำให้ คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ หัวเราะลั่นจนงอหาย ชอบอกชอบใจว่าสุนัขนั้นตอบถูกใจ แต่ก็ทำเอาคุณพ่อคุณแม่ตกอกตกใจคิดว่าเกิดอะไรขึ้นจึงได้มาสอบถาม และจึงพลอยได้รู้เรื่องนี้ไปด้วย
    ทั้งนี้ไม่ว่าใคร พอได้ทราบว่าเจ้าหมาน้อยตอบ คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ว่าอย่างไรแล้ว ต่างก็หัวร่อกันงอหายเช่นเดียวกับ คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ไปตาม ๆ กัน เพราะสำหรับสุนัขแล้ว คำตอบนี้แสดงให้เห็นว่าเจ้าสุนัขน้อยตัวนี้ นอกจากจะฉลาดแล้วยังมีปฎิภาณไหวพริบและ IQ ไม่เบา
    อยากรู้ไหมว่าเจ้าสุนัขตอบ คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ว่าอย่างไร มันตอบว่า “รักเท่ากัน”
    ผมยังจำได้ดีในขณะที่ได้ฟังเรื่องนี้จากท่าน พล.อ. ทวนทอง ฯ ท่านจะเล่าไปหัวเราะไปขบขันขนาดน้ำหูน้ำตาไหล ท่านว่า “แหม...ไอ้หมาตัวนี้มันฉะหลาด (ฉลาด)” แล้วก็หัวร่อต่อจนงอหงาย..!
    "หลวงปู่พล ธัมมปาโล" วัดหนองคณฑี จ.สระบุรี
    "ปรมาจารย์" ด้านวิปัสสนาธุระ" พระผู้ปฏิบัติดี
    ปฏิบัติชอบ รักสงบ แต่มากด้วยเรื่องราวของอิทธิปาฏิหาริย์ ที่เกิดขึ้นกับบรรดาลูกศิษย์มากมาย
    ประการแรก เรื่องราวของลูกศิษย์ท่านหนึ่งซึ่งชอบเหน็บธนบัตรเอาไว้ในหนังสือ ครั้นต้องการจะหาเงินก็ไม่สามารถหาให้เจอได้สำเร็จ จึงนำความมาแจ้งแก่หลวงปู่พลฯ เพื่อขอความช่วยเหลือ หลวงปู่พลท่านหลับตาครู่หนึ่งและบอกกับลูกศิษย์ว่า "เงินยังอยู่ที่เดิม. . .แต่เราจะขยับให้" หลังจากนั้นลูกศิษย์จึงกลับไปที่บ้านอีกครั้งและพบว่า มีเงิน ยื่นออกมาจากหนังสือ แบบที่หลวงปู่ท่าน บอกกล่าวมาอย่างน่าอัศจรรย์
    ประการที่สอง มีหญิงชราท่านหนึ่งป่วยเป็นโรคร้ายแรงที่แพทย์ลงความเห็นว่า สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกิน ๗ วันเท่านั้น ทางครอบครัวได้แต่ทำใจและเริ่มเตรียมงานศพ. . .ปรากฏว่าหลวงปู่พล ท่านทำยาส่งให้หญิงชราท่านนี้ ๑ แก้วและถามรายละเอียดว่าอยู่โรงพยาบาลไหน ห้องอะไร คืนนี้ท่านจะนั่งสมาธิไปรักษาให้ ปรากฏว่าวันต่อมาหญิงชราท่านนี้ ลุกขึ้นมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติสมบูรณ์ต่อไปอีกถึง ๓ ปีก่อนจะเสียชีวิตโดยไม่ต้องการการรักษาใดๆ
    ประการที่สาม หลวงปู่เสกทราย ไล่แมลงที่มากัดกินพืชตามไร่นา มีลูกศิษย์มาเรียนหลวงปู่ว่าพืชไร่ที่ปลูกไว้โดนแมลงต่างๆ เข้ามาทำลายทำให้เกิดความเสียหายต่อพืชผล หลวงปู่พล จึงให้นำทรายมา แล้วท่านเสกให้ชาวบ้านเอาไปโรยตามไร่นา ปรากฏว่าแมลงต่างๆ หายไปหมด
    หลังจากนั้นจึงมีคนขนทรายมาเป็นคันรถ ให้หลวงปู่เสก เพื่อนำไปโรยตามไร่นา
    หลวงปู่พล ธัมมปาโล ท่านมรณะภาพ
    22 / พ.ย./ 2534 ( 92ปี )

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญสัมพุทโธโภคทรัพย์หลวงปู่พลวัดหนองคณฑีกะไหล่ทองลงยาสีน้ำเงิน

    ให้บูชา 250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250417_143456.jpg IMG_20250417_141347.jpg
     
  6. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,104
    ค่าพลัง:
    +21,386
    FB_IMG_1744879062291.jpg FB_IMG_1744880546438.jpg

    ในบรรดาศิษย์หลวงพ่อเดิม
    ที่มีชื่อเสียง เขาว่า
    ลพ.กัน เขาแก้ว คือศิษย์เอก
    ลพ.กวย วัดโฆสิตาราม คือศิษย์ที่มีชื่อเสียงที่สุด
    แต่ ลพ.น้อย คือศิษย์
    ผู้ครองวัดต่อจากหลวงพ่อเดิม
    หลวงพ่อน้อย เตชปุญฺโญ (พระครูนิพนธ์ธรรมคุต)
    ท่านเกิดเมื่อวันพฤหัสบดี แรม ๗ ค่ำ เดือน ๖ ปีวอก ตรงกับวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๔๕๑ ที่บ้านหนองโพ หมู่ที่ ๑ ตำบลหนองโพ อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ โยมบิดา นายแป้น ชูจันทร์ โยมมารดา นางเงิน ชูจันทร์ มีพี่น้องร่วมบิดามารดารวม ๖ คนคือ
    ๑. นางริม จันทร์เจริญ (ถึงแก่กรรม)
    ๒. นางรวย ชวดนุช (ถึงแก่กรรม)
    ๓. จ.ส.ต.ทอง ชูจันทร์ (ถึงแก่กรรม)
    ๔. พระครูนิพนธ์ธรรมคุต (มรณภาพ)
    ๕. นายมี ชูจันทร์
    ๖. นายมอม ชูจันทร์
    เมื่อเติบโตมีอายุสมควรแล้ว ได้รับการศึกษาสมัยใหม่ ตามแบบที่หลวงพ่อเดิมได้จัดขึ้น สมัยนั้นมีเพียงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ เมื่อเรียนจบแล้วออกไปช่วยบิดามารดาประกอบอาชีพมีการทำนาเป็นพื้นการทำไร่มีเล็กน้อย เช่นการทำไร่แตง ไร่ผัก เป็นอาชีพเสริม พออายุครบ ๒๐ ปี บิดามารดาก็จัดการอุปสมบท ที่วัดหนองโพ เมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๔๗๑ มีพระครูนิวาสธรรมขันธ์ (หลวงพ่อเดิม) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์รุ่ง (หลวงพ่อรุ่ง) วัดหนองสีนวล เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระสมุช์ชุ่ม ขนฺธสโร วัดหนองโพ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เพราะท่านเกิดต้นปีจึงอุปสมบทก่อนกำหนดการเกณฑ์ทหาร
    เมื่ออุปสมบทแล้วก็จำพรรษาอยู่ที่วัดหนองโพ เรียนและสอบได้นักธรรมชั้นโท ประมาณพรรษาที่ ๔ หรือ ๕ ได้ไปจำพรรษาที่วัดหัวหวาย ๑ พรรษา เพื่อไปฝึกเรียนทำพระปรอทจากหลวงพ่อวา ต่อจากนั้น ก็มาอยู่จำพรรษาเป็นประจำ วัดหนองโพ โดยตลอดหลวงพ่อน้อยเป็นคนละเอียดถี่ถ้วน เขียนหนังสือขอมได้สวยงามเรียบร้อย หลวงพ่อเดิมจึงเรียกใช้ใกล้ชิด หลวงพ่อเดิมมอบให้เป็นผู้ลงอักขระพระเครื่อง ตะกรุดและยันต์ต่าง ๆ ตลอดมา กับทั้งทำหน้าที่เลขานุการหลวงพ่อเดิมในตำแหน่ง (เจ้าคณะแขวง) เจ้าคณะอำเภอพยุหะคีรี จึงต้องเข้าประชุมแทนหลวงพ่อเดิม ท่ามีกิจธุระต้องไปก่อสร้างตามวัดต่าง ๆ กลับมาจำพรรษาที่วัดหนองโพบ้างไม่กลับบ้าง ถ้าการก่อสร้างที่วัดใดใกล้จะเสร็จ ท่านก็จำพรรษาอยู่ที่นั่น และทำงานก่อสร้างให้เสร็จแล้วจึงกลับ หลวงพ่อน้อยจึงทำหน้าที่แทนตลอดมาจนหลวงพ่อเดิมพ้นจากตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอ

    เมื่ออุปสมบทแล้วหลวงพ่อน้อยหัดเทศน์มหาชาติเพราะในสมัยนั้นกำลังนิยมเทศน์มหาชาติกันอยู่ ท่านเทศน์ได้ทุกกัณฑ์แต่ที่ท่านเทศน์จนคล่องจริง ๆ นั้นคือกัณฑ์กุมารเทศน์ได้คล่อง ท่านเคยเล่าให้ฟังว่าเขานิมนต์ไปเทศน์ติด ๆกัน วัดไม่ห่างกันมากนัก มีโยมคนหนึ่งแกตามไปฟังทุกครั้ง ท่านก็แปลกใจว่า โยมคนนี้ เทศน์วัดนั้นก็ไปฟัง เทศน์วัดนี้ก็มาฟัง เทศน์อยู่สามครั้งด้วยกัน ก็บอกกับโยมที่ไปกับหลวงพ่อว่าแกตามไปฟังนั้นเพื่อจะติว่าเทศน์วัดนั้นกับวัดนี้ จะผิดกันบ้างไหม แกฟังมาสามครั้งแล้ว หาที่ติไม่ได้ พระแก่นี้ใช้ได้แล้ว หลวงพ่อว่ากัณฑ์กุมารนี้เทศน์ให้ดีแล้วกำหนดเวลาประมาณสามชั่วโมงจึงจะจบ หลวงพ่อเป็นนักเทศน์อยู่หลายปี จนพระสมุห์ชุ่ม ขนฺธสโร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดหนองโพมรณภาพแล้ว หลวงพ่อเดิมก็มีอายุมากขึ้นและท่านลาออกจากเจ้าอาวาส หลวงพ่อน้อยจึงรับตำแหน่ง เจ้าอาวาสวัดหนองโพ และเป็นเจ้าคณะตำบลหนองโพ เมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๔๙๑ จึงเลิกเทศน์เพราะมีหน้าที่การงานรัดตัวหาเวลาไม่ค่อยได้ และได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์เมื่อปี ๒๔๙๔ แล้วได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูนิพนธ์ธรรมคุต พระครูสัญญาบัตรชั้นตรี เมื่อปี ๒๕๐๐ ต่อมาเลื่อนเป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโท ในปี ๑๕๑๒ และเลื่อนเป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นเอก เมื่อปี ๒๕๒๑
    เมื่อหลวงพ่อเดิมมรณภาพไปแล้ว กุฏิก็เก่าชำรุดทรุดโทรมมากแล้วหลวงพ่อน้อยต้องไปหาไม้มาทำกุฏิต้องไปค้างคืนรอนแรมในป่าเวลาหน้าแล้งเมื่อชาวบ้านเสร็จจากนา ยกครัวกลับมาบ้าน ก็ชวนโยมไปหาไม้ เข้าดงด่านตาพัน พุเม่น หนองรั้ว ตัดฟันไม้แล้วขอแรงเกวียนชาวบ้านไปเข็นมาบ้าง ท่อนใหญ่ ๆ ก็จ้างรถยนต์บรรทุกมาบ้าง นำมาเลื่อยที่วัดหนองโพจ้างพวกเลื่อยไม้ที่มาจากจังหวัดแพร่ให้เลื่อยโดยมากเลื่อยกันเองบ้าง เอามาทำกุฏิเสนาสนะให้เข้าระเบียบต่อมา
    มูลเหตุในการสร้างวัตถุมงคลของหลวงพ่อน้อยนั้นเกิดขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๐๕ ท่านไปธุระที่ตำบลตาคลีหรือที่ไหนที่จะต้องขึ้นรถไฟ เมื่อเดินผ่านตลาดหน้าสถานีหนองโพ นางบุญยืน ไทยจงรักษ์ ก็บอกลูกชายอายุ ๔-๕ ขวบ ว่าหนู หลวงตามาแล้วไปธุระหลวงตาซิลูกเด็กก็เข้ามาไหว้หลวงพ่อ แล้วขอพระ ว่าหลวงตาขอพระให้ผมบ้าง ท่านก็ตอบว่า กูไม่มีว่ะ ไอ้หนู เมื่อเขาให้ไปไหว้หลวงพ่อครั้งใดก็ขอพระทุกทีหลายครั้งเข้า เด็กก็ว่าให้ว่าหลวงตานี่บวชมาตั้งหลายปีแล้วจะทำพระไว้แจกลูกหลานมั่งก็ไม่ได้ นางบุญยืน จึงว่าแก่ลูกชายว่า แกไปว่าหลวงตาอย่างนั้นได้หรือแล้วจะทำโทษเด็กหลวงพ่อก็ห้ามว่าแกอย่าไปว่าเด็กเลยเพราะมันพูดถูกแล้ว แต่นั้นมาหลวงพ่อจึงได้เริ่มสร้างเหรียญสองหน้าขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๔ และเมื่อมีความจำเป็นต้องใช้เงินมากในคราวสร้างศาลาการเปรียญจึงจัดทำขึ้นมาครบทุกอย่าง ในปี พ.ศ. ๒๕๑๖
    โดยปกติ หลวงพ่อน้อยเป็นผู้มีสุขภาพดีแข็งแรงท่านไม่ค่อยเจ็บไข้ได้ป่วยอันใด แต่เมื่อมีอายุมากขึ้นความต้านทานไม่พอจึงเจ็บป่วยบ้าง ก่อนที่ท่านจะป่วยมากนั้นท่านได้ถอนฟันออกทั้งหมดเพื่อใส่ฟันใหม่ระยะที่ถอนฟันกว่าจะหมดกับการใส่ฟันใหม่นั้นเป็นเวลากว่า ๒ เดือน ท่านฉันอาหารไม่ค่อยได้ตามปกติเมื่อใส่ฟันแล้วสุขภาพก็ไม่คืน กำลังของท่านก็ทรุดโทรมลงไปตามลำดับ ท่านได้เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลราชวิถีในความดูแลของนายแพทย์ สุนทร อันตรเสน ที่ต้องพักอยู่หลายวัน ๓ ครั้ง ครั้งแรกเข้ารักษาโรคปอดครั้งที่ ๒ เข้ารักษาโรคหัวใจ ครั้งสุดท้ายโรคทางเดินอาหารเพราะฉันอาหารไม่ได้เลย กลืนไม่ลงคอพอฉันน้ำกับนมกล่องได้บ้าง แต่ไม่มากนัก เข้าโรงพยาบาลราชวิถีอีกเมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม เวลา ๐๕.๐๐ น. ถึงโรงพยาบาลแล้วหมอแทงน้ำเกลือไม่เข้าจึงผ่าตัดเส้นเลือดที่แขนซ้ายเอาหลอดยางสอดเข้าในเส้นเลือดให้น้ำเกลือและอาหารทางนั้น เมื่ออยู่โรงพยาบาลหลายวันเข้าแม้แต่ฉันก็ไม่ลงคอ หมอจึงผ่าตัดให้เมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๓๓ แต่มีโรคแทรก ท่านจึงถึงแก่มรณภาพ เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๓๓ เวลา ๒๓.๒๐ น. ที่โรงพยาบาลราชวิถี สิริรวมอายุได้ ๘๒ ปี ๕ เดือน ๒๔ วัน รวม ๖๓ พรรษา
    Cr.ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ จากเพจ ศิษย์วัดหนองโพหลวงพ่อเดิม ไว้ณ ที่นี้ด้วยครับ
    ขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมือที่มาอย่างสูงครับ

    รูปถ่าย ๑ นิ้วหลวงพ่อน้อยวัดหนองโพหลังยันต์หน้าโบสถ์วัดหนองโพ
    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250417_141415.jpg IMG_20250417_141435.jpg
     
  7. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,104
    ค่าพลัง:
    +21,386
    FB_IMG_1744890489040.jpg

    รูปเหมือน หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค รุ่นสู่พุทธภูมิ ปี ๒๕๓๖ เนื้อนวะ หลัง พระพุทธประทับสัตว์
    ปลุกเสกพิธีใหญ่ ในวันเสาร์ 5 วันที่ 27 มีนาคม 2536
    จัดสร้างโดย พระครูวิหารกิจจานุยุต (อุไร กิตติสาร) เจ้าอาวาส วัดบางนมโค
    โดย มี พระเกจิคณาจารย์ ร่วม ปลุกเสก มากมาย อาทิเช่น
    1. หลวงปู่ทิม วัดพระขาว จ.อยุธยา
    2.หลวงพ่อแม้น วัดหน้าต่างนอก จ.อยุธยา
    3.หลวงพ่อเพิ่ม วัดป้อมแก้ว จ.อยุธยา
    4.หลวงพ่อพูล วัดบ้านแพน จ.อยุธยา
    5. พระครูวิหารกิจจานุยุต (อุไร กิตติสาร) เจ้าอาวาสวัดบางนมโค จ.อยุธยา
    6. หลวงพ่อมี เขมธัมโม วัดมารวิชัย จ.อยุธยา
    7.พระครูกิตติธรรมธาดา (เจ้าอาวาสวัดเจ้าแปดทรงไตรย์) จ.อยุธยา
    8.หลวงพ่อเมี้ยน วัดโพธิ์กบเจา จ.อยุธยา
    โดยแต่ละพิมพ์ขี่สัตว์ก็จะมีพุทธคุณที่โดดเด่นกันไป ทีนี้เรามาดูพระพิมพ์ขี่ทั้ง 6 สัตว์กัน
    1.พิมพ์ขี่นก
    งานด้านพุทธศิลป์ของพระพิมพ์ขี่นก สังเกตได้ง่ายๆ ว่าตรงใต้ฐานจะเป็นนกที่มีลักษณะปากแหลม หางยกขึ้นไม่มาก ส่วนด้านพุทธคุณนั้นว่ากันว่าจะถูกโฉลกกับคนที่ประกอบอาชีพการเกษตร ช่วยให้สำเร็จในการทำไร่นา และการเพาะปลูกพืชพันธุ์ นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่าหากบูชาจะช่วยเสริมด้านการค้าขายอีกด้วย โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ทำอาชีพเกี่ยวกับการเจรจา การสื่อสาร
    2.พิมพ์ขี่ไก่
    เป็นพิมพ์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในพิมพ์ขี่สัตว์ โดยพิมพ์ขี่ไก่ก็จะมีแบบที่นิยมเป็นหลักๆ คือ “ทรงไก่หางพวง” และ “ทรงไก่หาง 5 เส้น” สังเกตได้จากหางของไก่นั่นเอง ซึ่งมีพุทธคุณด้านค้าขายดี และเมตตามหานิยม เพราะพฤติกรรมของไก่ที่เป็นจ่าฝูงจะมีตัวเมียล้อมรอบ เมื่อมารวมกับผงวิเศษ 3 สูตร ยิ่งเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นนั่นเอง
    3.พิมพ์ขี่ปลา
    พระพิมพ์ที่มีปลาอยู่ใต้พระพุทธเจ้า เชื่อว่าจะช่วยเรื่องการค้าขายทางน้ำ หรือผู้ที่เลี้ยงชีพโดยอาศัยแม่น้ำ จะช่วยให้รอดพ้นจากสัตว์อันตรายที่อยู่ในน้ำได้
    4.พิมพ์ขี่ครุฑ
    พระเครื่องที่นิยมในหมู่ข้าราชการชั้นเจ้านาย เชื่อว่ามีพุทธคุณดีในทางอำนาจราชศักดิ์ ผู้คนเกรงขาม ขจัดเรื่องที่ไม่ดี และยังช่วยปรับเรื่องฮวงจุ้ยอีกด้วย

    ขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    รูปเหมือนหลวงพ่อปานวัดบางนมโคหลังพระพุทธรูปประทับสัตว์ เนื้อนวโลหะ
    ๑. ขี่ครุฑ (ปิดรายการ)
    ๒. ขี่ไก่ (ปิดรายการ)
    ๓.ขี่นก (ปิดรายการ)

    ๔.ขี่ปลา


    ให้บูชาองค์ละ 150 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250417_165847.jpg IMG_20250417_165904.jpg IMG_20250417_165948.jpg IMG_20250417_165934.jpg IMG_20250417_170011.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 เมษายน 2025 at 20:20
  8. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,104
    ค่าพลัง:
    +21,386
    วันนี้ จัดส่ง

    1744983007013.jpg

    ขอบคุณครับ
     
  9. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,104
    ค่าพลัง:
    +21,386
    Phra_Phuttha_Sothon_2024_(5).jpg

    หลวงพ่อโสธร หล่อโบราณ ท้องสนามหลวง พ.ศ.2549
    อานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ของหลงพ่อโสธร มีมากเหลือที่จะเล่าสู่กันฟังให้หมดได้เพราะหลวงพ่อโสธรเป็นต้นโพธิ์ต้นไทร อันใหญ่ให้สรรพสัตว์ได้พำนักอาศัย หลวงพ่อเป็นร่มใหญ่กางกั้นสรรพภัยอันตรายความเดือดร้อนรำเค็ญ ให้สรรพสัตว์อยู่เย็นเป็นสุข เป็นแพทย์วิเศษพยาบาลผู้อาพาธให้หายขาด เป็นสรณะที่พึ่งพิงของหมู่บริษัทผู้ถูกภัยคุกคาม เป็นหมอดูพยากรณ์ทายโชคชะตา วาสนาทั้งอดีตอนาคตและปัจจุบัน ให้ทุกท่านผู้ต้องการทราบ หลวงพ่อเป็นสัพพัญญู สำเร็จทุกวิชาทุกอย่างทั้งทางโลกและทางธรรม เป็นบรมครูของเทวดาและมนุษย์ไม่มีผู้ใด ยิ่งไปกว่าหลวงพ่อโสธรมหาพิธีครั้งประวัติการณ์ อันเชิญหลวงพ่อโสธรเข้ากรุงเทพ สมโภชองค์จำลอง 108 นิ้ว มณฑลพิธีท้องสนามหลวงเป็นครั้งแรก 9 วัน 9 คืน ในมหามงคลวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงครองราชย์ครบ 60 ปี คณะกรรมการจัดงานสมโภชพระพุทธโสธรจำลอง หน้าตัก 108 นิ้ว จึงประกาศจัดงานพิธีฉลององค์หลวงพ่อโสธรครั้งประวัติศาสตร์ขึ้น ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง 9 วัน 9 คืน ตั้งแต่ 27 มค. ถึง 5 กพ.2549 เพื่อเปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนได้มาปิดทองสักการะขอพรเป็นครั้งแรก ให้เป็นสิริมงคลในเทศกาลตรุษจีน ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง กทม. หลวงพ่อพระพุทธโสธรองค์ใหญ่ หน้าตัก 108 นิ้ว ได้ประกอบพิธีเททองหล่อไว้เป็นครั้งประวัติศาสตร์ ณ วัดโสธรวรารามวรวิหาร พระสงฆ์จากทั่วประเทศเจริญพุทธมนต์กว่า 10,000 รูป เพื่ออัญเชิญไปเป็นองค์ประธานในอาคารหอประชุมใหญ่ของมหาวิทยาลัยสงฆ์ต่อไปช้าตรู่วันที่ 23 ม.ค. ที่บริเวณข้างพระอุโบสถวัดโสธรวรารามวรวิหาร อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา มีพุทธศาสนิกชนหลายหมื่นคนหลั่งไหลมาร่วมพิธีอัญเชิญหลวงพ่อพระพุทธโสธรหรือหลวงพ่อโสธร (องค์จำลอง) เข้ากรุงเทพมหานครครั้งแรกในประวัติศาสตร์มืดฟ้ามัวดิน จนฤกษ์ดีมีชัยเวลา 09.39 น. นายกิตติ เป้าเปี่ยมทรัพย์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ฉะเชิงเทรา และคณะมาเป็นประธานในพิธีจุดธูปเทียน ร่วมฟังการสวดพระพุทธมนต์แล้วกดปุ่มรถเครนขนาดใหญ่ยกองค์หลวงพ่อโสธรลงสู่แพขนานยนต์ที่ประดับด้วยธงสี ผ้าสี สวยงามจอดเทียบท่าน้ำในแม่น้ำบางปะกงเพื่อมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ ตามแผนที่วางเอาไว้ โดยในพิธีมีการประดับผ้าสี จุดประทัดจำนวน 1,260,000 ดอกดังสนั่นหวั่นไหวทั้งงานและพราหมณ์โปรยข้าวตอกดอกไม้เพื่อสิริมงคลด้วย
    ทั้งนี้แพขนานยนต์ได้เคลื่อนออกจากท่าน้ำไปตามแม่น้ำบางปะกง โดยมีเรือยาวขนาด 60 ฝีพายหลายสิบลำพายเรียงรายตามแพแห่หลวงพ่อโสธรจำลองวนขวา 3 รอบเอาฤกษ์เอาชัยที่หน้าวัดโสธรวรารามวรวิหารจากนั้นก็มุ่งหน้าไปทาง อ.บางปะกง และทีมงานจะแวะพักเอาแรง 1 คืน วันที่ 24 ม.ค. ขบวนแห่จะเดินทางต่อไปแวะพักที่ปากน้ำ จ.สมุทรปราการ วันที่ 25 ม.ค. ขบวนจะเลี้ยวเข้าสู่แม่น้ำเจ้าพระยาจนถึงท่าน้ำราชวงศ์และท่าน้ำสะพานพุทธยอดฟ้าฯ และในวันที่ 26 ม.ค. คณะกรรมการจะประกอบพิธีทางสงฆ์อัญเชิญหลวงพ่อโสธรขึ้นจากแพขนานยนต์มาที่มลฑลพิธีท้องสนามหลวงเพื่อประดิษ ฐานให้คนไทยและพุทธศาสนิกชนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนแวะมาเคารพสักการะทั่วกัน โดยจะมีพิธีเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ที่ท้องสนามหลวงถึง 9 วัน 9 คืนด้วย
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250418_212257.jpg IMG_20250418_212328.jpg IMG_20250418_212205.jpg IMG_20250418_212356.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...