โชติกเศรษฐีและภรรยาที่เกิดด้วยบุญซึ่งเป็นนางแก้วมาจากอุตรคุรุทวีป เรื่องโชติกเศรษฐี ผู้มีสมบัติอันใครแย่งชิงไม่ได้ ในสมัยพุทธกาลมีเศรษฐีคนหนึ่ง ชื่อว่า "โชติกะ" เป็นผู้มีสมบัติจักรพรรดิตักไม่พร่อง มีต้นกัลปพฤกษ์ มีนางแก้วจากอุตรกุรุทวีปเป็นภรรยา มีแก้วมณีส่องแสงสว่างทั้งกลางวันและกลางคืน มีปราสาท 7 ชั้น ล้วนประกอบด้วยรัตนะ 7 ประการ มีกำแพง 7 ชั้น พร้อมด้วยยักษ์บริวารจำนวน 28,007 ตน อารักขาอยู่ตลอด 24 ชม. วันหนึ่งพระเจ้าพิมพิสารและเจ้าชายอชาตศัตรู ได้เสด็จไปเยี่ยมชมสมบัติของเศรษฐี ครั้นชื่นชมสมบัติอันเกิดจากบุญแล้ว ความปรารถนาในทรัพย์นั้น ได้มีแล้วแก่เจ้าชายอชาตศัตรู เมื่อพระองค์ปลงพระชนม์พระราชบิดา ขึ้นครองราชสมบัติแล้ว จึงยกไพล่พลเพื่อจะยึดเอาปราสาทของเศรษฐี ในขณะที่เศรษฐีไปฟังธรรม ณ วัดพระเชตวัน ขณะนั้นหัวหน้ายักษ์ชื่อว่า "ยมโมลิ" ผู้รักษาซุ้มประตูที่ 1 เห็นพระราชายกไพร่พลมาแล้ว จึงร้องถามว่า "พวกท่านจะไปที่ไหน?" กำจัดแล้วซึ่งไพร่พลของพระเจ้าอชาตศัตรูจนแตกพ่าย พระราชาเสด็จหนีไปยังวัดพระเชตวัน พระราชาเสด็จเข้าไปหาโชติกเศรษฐีแล้วตำหนิว่า "ท่านสั่งให้บริวารทำร้ายเรา แล้วทำเสมือนนั่งฟังธรรม" เศรษฐีได้ยินดังนั้นจึงทูลถามว่า "พระองค์ยกกำลังไป เพื่อจะยึดปราสาทของข้าพเจ้าใช่หรือไม่?" พระราชาตรัสว่า "ใช่ เราจะยึดปราสาทของท่าน" เศรษฐีกราบทูลว่า "แม้พระราชาสัก 1,000 พระองค์ยกทัพมา ก็ยึดปราสาทของข้าพเจ้าไม่ได้ ถ้าข้าพเจ้าไม่อนุญาต" พระราชาตรัสว่า "ท่านต้องการเป็นพระราชาอย่างนั้นรึ?" เศรษฐีได้ยินดังนั้นจึงกราบทูลว่า "ข้าพเจ้าไม่ต้องการเป็นพระราชา แต่ไม่ว่าพระราชาหรือโจรทั้งหลาย ก็ไม่สามารถช่วงชิงเอาแม้เพียงเส้นด้ายที่ชายพกของข้าพเจ้าได้ ถ้าข้าพเจ้าไม่อนุญาต" พระราชาตรัสว่า "ทำไมเราจักต้องยึดตามความชอบใจของท่านด้วยเล่า?" เศรษฐีกราบทูลว่า "ถ้าอย่างนั้นพระองค์จงลอง ช่วงชิงแหวนทั้ง 20 บนนิ้วมือทั้ง 10 ของข้าพเจ้าดูซิ ข้าพเจ้าไม่ถวาย แต่ถ้าทรงเอาไปได้ ก็จงเอาไปเถิด" พระเจ้าอชาตศัตรูเป็นผู้มีกำลังมาก หากนั่งกระโหย่งสามารถกระโดดได้สูง 18 ศอก (72 เมตร) แต่ถ้ายืนจะสามารถกระโดดได้สูงถึง 80 ศอก (320 เมตร) ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถดึงแหวนที่อยู่บนนิ้วมือของโชติกเศรษฐีไปได้ ครั้งนั้น เศรษฐีกราบทูลพระราชาว่า "ขอพระองค์ทรงปูลาดผ้าสาฏกเถิด" จากนั้นจึงทำให้แหวนทั้ง 20 วง หลุดออกจากนิ้วมืออย่างง่ายดาย แล้วตรัสกับพระราชาว่า "หากข้าพเจ้าไม่ปรารถนาจะมอบสมบัติให้ใคร ใครก็ไม่สามารถช่วงชิงสมบัติของข้าพเจ้าไปได้" ขณะนั้นเศรษฐีได้เกิดธรรมสังเวช จึงทูลขอประทานอนุญาตบรรพชาจากพระราชา พระเจ้าอชาตศัตรูคิดว่า `หากเศรษฐีบวชแล้ว ตนจักยึดสมบัติของเศรษฐีได้โดยสะดวก‘ จึงทรงประทานอนุญาต เมื่อเศรษฐีบวชแล้ว ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในเวลาไม่นาน มีนามว่า "พระโชติกเถระ" สมบัติทั้งหลายทั้งปวงของเศรษฐีได้อันตรธานหายไปสิ้น แม้ปราสาทก็จมลงสู่แผ่นดิน แม้เทวดาก็ได้พาภรรยาของเศรษฐีกลับสู่อุตรกุรุทวีป พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสพระคาถาปรารภเหตุแห่งพระเถระว่า "บุคคลใด ในโลกนี้ ละขาดแล้ว ซึ่งตัณหาทั้งหลาย เป็นผู้ไม่มีเรือน พึงเว้นรอบ เราย่อมเรียกบุคคลนั้น ผู้มีตัณหาและภพสิ้นรอบแล้ว ว่าเป็นพราหมณ์" ดังนี้ฯ ในสมัยพุทธกาลมีเศรษฐีคนหนึ่ง ชื่อว่า "โชติกะ" เป็นผู้มีสมบัติจักรพรรดิตักไม่พร่อง มีต้น บทวิเคราะห์จากผู้อ่าน สาเหตุที่ไม่มีใครสามารถแย่งชิงสมบัติของโชติกเศรษฐีได้ เพราะว่าท่านทำบุญกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วตั้งจิตอธิษฐานว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้มีพระราชาหรือว่าโจรทั้งหลายนับร้อยคน เป็นผู้มีความสามารถ ข่มเหงข้าพเจ้าได้ จงอย่าได้ถือเอาแม้เพียงเส้นด้ายที่ชายพกของข้าพเจ้าเลย ขอให้สมบัติของข้าพเจ้า แม้ไฟก็ไม่สามารถไหม้ได้ แม้น้ำก็ไม่สามารถพัดไปได้ ด้วยเถิดฯ" สมบัติทุกอย่างในโลกใบนี้เป็นของกลางเมื่อเราตายไป ก็จะกลายเป็นของคนอื่น แต่สมบัติคือบุญนั้น ไม่มีใครสามารถช่วงชิงไปจากเราได้ ใครทำก็ได้บุญ ใครไม่ทำก็ไม่ได้บุญ ดังนั้นเราจึงควรสั่งสมบุญ ซึ่งเป็นเหตุให้บังเกิดความสุขและความสำเร็จในชีวิต และเป็นปัจจัยส่งผลให้เราได้บรรลุมรรคผลนิพพานในภพชาติสุดท้าย อ้างอิง: เรื่องแห่งพระเถระชื่อว่าโชติกะ ธรรมบทภาค 8 (แปล) หน้า 153-177. ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก Peet Gatnathito ที่มา https://www.winnews.tv ---------------------------------------------------------------------------------- ถาม : อย่างโชติกเศรษฐีท่านจะมีภรรยา เทวดาต้องไปเอาจากดาวอื่นมาให้ เพราะว่าท่านเป็นคนมีบุญมาก ไม่เข้าใจว่าท่านพิเศษกว่าคนอื่นอย่างไร ? ตอบ : ก็ท่านสร้างของท่านมา ทำไมต้องเข้าใจ...ก็ทำให้ได้อย่างท่านเดี๋ยวก็เหมือนท่านเอง ของคุณมีโอกาส เพราะยังเกิดอีกเยอะ..! ถาม : บางคนเป็นกษัตริย์ เป็นเจ้าเมือง ยังมีบุญไม่เท่าท่านเลย ทั้งที่ท่านโชติกะเป็นแค่เศรษฐี ตอบ : ของท่านนั้นเป็นชาติที่ต้องบวช บรรดาวาระกรรมวาระบุญต่าง ๆ จะลงตัวในสภาพนั้น ท่านจึงมาเกิดในสิ่งแวดล้อมนั้น ถ้าหากว่าท่านไปเกิดเป็นเจ้าพระยามหากษัตริย์ อาจจะต้องไปรบทัพจับศึก ทำสงครามกับเมืองอื่น อกุศลอาจจะชักพาให้ไกล ไม่ได้บวชเป็นพระอรหันต์ก็ได้ ที่มา วัดท่าขนุน