ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Dec 9, 2024 ช็อกวงการ! ยอดบริษัทญี่ปุ่นล้มละลายปี 67 จ่อทุบสถิติสูงสุดในรอบ 11 ปี คาดทะลุ 10,000 ราย

    โตเกียวโชโกะรีเสิร์ช (TSR) เปิดเผยข้อมูลเอกชนในญี่ปุ่น พบว่าจำนวนบริษัทที่ยื่นล้มละลายในญี่ปุ่นปีนี้มีแนวโน้มทะลุ 10,000 ราย ซึ่งจะเป็นตัวเลขสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2556 โดยรายงานนี้มีขึ้นก่อนการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ที่ทุกฝ่ายจับตาในสัปดาห์หน้า

    โดย TSR ระบุว่า ในเดือน พ.ย. มีบริษัทญี่ปุ่นล้มละลาย 841 ราย ส่งผลให้ยอดรวมช่วงม.ค.-พ.ย. พุ่งแตะ 9,164 ราย ซึ่งสูงกว่ายอดรวมทั้งปีของปี 2566 ไปแล้ว และคาดว่าตัวเลขล้มละลายปี 2567 จะทะลุ 10,000 รายเป็นครั้งแรกนับจากปี 2556 ที่มีบริษัทล้มละลาย 10,855 ราย

    ขณะที่ สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า BOJ มีกำหนดประชุมทบทวนอัตราดอกเบี้ยวันที่ 18-19 ธ.ค. โดยคณะผู้กำหนดนโยบายจะพิจารณาตัวชี้วัดเศรษฐกิจล่าสุดเทียบกับการคาดการณ์ ขณะที่ตลาดยังคงคาดกันว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นในเดือน ธ.ค. หรือไม่ก็ม.ค. 68

    #ญี่ปุ่น #บริษัทล้มละลาย #เอกชนญี่ปุ่น #BTimes

    https://www.facebook.com/share/FhptR6oruQFXhmFF/
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Dec 9, 2024 ยุคฟอสซิล! ธุรกิจโรงไฟฟ้าฟอสซิลในไทยปี 2568 คาดมีแนวโน้มเติบโตช้าลง
    .
    ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ในปี 2568 ธุรกิจไฟฟ้าฟอสซิลยังคงเป็นธุรกิจที่มีความมั่นคงจากสัดส่วนรายได้ราว 80% ที่เป็นการทำสัญญาขายระยะยาวกับภาครัฐ โดยแบ่งรายได้ออกได้เป็น 2 ส่วนหลัก ประกอบด้วย “ค่าความพร้อมจ่าย” ซึ่งจะได้รับตามสัญญาแม้จะไม่มีการผลิตไฟฟ้าส่งเข้าโครงข่ายภาครัฐ และค่าไฟฐานกับค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) ที่กำหนดโดยภาครัฐ ซึ่งเป็นรายได้ต่อหน่วยไฟฟ้าที่จะได้รับเมื่อมีการผลิตและขายไฟฟ้า ในขณะที่สัดส่วนรายได้อีกราว 20% เป็นการขายให้ผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมโดยจะทำสัญญาซื้อขายกันโดยตรง และมักอ้างอิงราคาค่าไฟของภาครัฐในการทำสัญญาซื้อขาย
    .
    รายได้ต่อหน่วยและต้นทุนเชื้อเพลิงของธุรกิจโรงไฟฟ้าฟอสซิลในปี 2568 รายได้ต่อหน่วยของธุรกิจโรงไฟฟ้าฟอสซิลในปี 2568 คาดว่าจะใกล้เคียงกับปี 2567 ในขณะที่ต้นทุนเชื้อเพลิงเฉลี่ยปรับเพิ่มสูงขึ้น
    .
    ในปี 2568 รายได้จากการขายไฟฟ้าต่อหน่วยคาดว่าจะทรงตัว เนื่องจากนโยบายภาครัฐที่ต้องการรักษาระดับค่าไฟในประเทศ เพื่อไม่ให้เป็นภาระต่อผู้บริโภคและภาคธุรกิจ ในขณะที่ต้นทุนเชื้อเพลิงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก ราคาก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยซึ่งเป็นเชื้อเพลิงการผลิตหลัก มีทิศทางขาขึ้นตามอุปสงค์ตลาดโลกที่ขยายตัวราว 2.5% (คาดการณ์โดยองค์การพลังงานระหว่างประเทศ: IEA) อย่างไรก็ดี อุปทานก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย ซึ่งมีต้นทุนที่ย่อมเยากว่า จะสามารถกลับมาผลิตได้เต็มกำลังตลอดปี 2568 ทำให้ต้นทุนก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยอาจไม่เพิ่มสูงขึ้นนัก
    .
    แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจโรงไฟฟ้าฟอสซิล โดยในปี 2568 ธุรกิจโรงไฟฟ้าฟอสซิลยังคงมีทิศทางเติบโตต่อเนื่อง ตามแนวโน้มรายได้ที่ยังคงเพิ่มขึ้นทั้งในตลาดผลิตไฟฟ้าเพื่อขายให้ภาครัฐ และตลาดผลิตไฟฟ้าให้ผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของรายได้คาดว่าจะช้าลงจากปีก่อนหน้า ตามความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นช้าลง
    .
    ตลาดผลิตไฟฟ้าเพื่อขายให้ภาครัฐในปี 2568 รายได้จากการผลิตไฟฟ้าฟอสซิลเพื่อขายให้ภาครัฐมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง แม้ว่าจะเพิ่มขึ้นช้าลงกว่าปี 2567 จากความต้องการใช้ไฟฟ้าในโครงข่ายภาครัฐที่ชะลอลงเป็น 1.4% ในปี 2568 จาก 3.5% ในปีก่อนหน้า ตามการเติบโตที่ช้าลงของการใช้ไฟฟ้าในภาคธุรกิจและครัวเรือนความต้องการใช้ไฟฟ้าภาคธุรกิจ พบว่าในปี 2568 ความต้องการใช้ไฟฟ้าภาคธุรกิจคาดว่าจะโต 1% ชะลอลงจาก 2.8% ในปี 2567 จากการใช้ไฟฟ้าในภาคการผลิตและภาคบริการที่เพิ่มขึ้นช้าลง ในปี 2568 ความต้องการใช้ไฟฟ้าภาคผลิตคาดว่าจะโต 1.4% ขณะที่ภาคบริการคาดว่าจะโต 0.4% ชะลอตัวจาก 2.9% และ 2.6% ในปีก่อนหน้า ตามลำดับสำหรับภาคการผลิต การใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่มาจาก 3 อุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์โลหะ อาหารและเครื่องดื่ม และเคมีภัณฑ์และปิโตรเลียม รวมกันคิดเป็นกว่า 66% ของการใช้ไฟฟ้าภาคผลิตทั้งหมด ซึ่งในปี 2568 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เฉลี่ยของ 3 อุตสาหกรรมดังกล่าว คาดว่าจะขยายตัวเพียง 1.2% ลดลงจาก 2.4% ในปี 2567 แสดงถึงกิจกรรมการผลิตที่โตช้าลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลให้ภาพรวมความต้องการใช้ไฟฟ้าภาคผลิตในปี 2568 เติบโตช้าลง
    .
    ในขณะเดียวกันการใช้ไฟฟ้าภาคบริการก็มีแนวโน้มชะลอตัวเช่นกัน เนื่องจากกิจการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจภาคบริการทยอยฟื้นตัวและกลับมาดำเนินการได้เกือบเป็นปกติแล้วตั้งแต่ช่วงปี 2567 หลังได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์โควิด-19 นอกจากนั้นความต้องการใช้ไฟในธุรกิจ ขายส่ง/ขายปลีก โรงแรมและที่พัก และการจัดเก็บสินค้า ซึ่งรวมกันคิดเป็นเกือบ 70% ของการใช้ไฟฟ้าภาคบริการทั้งหมด ก็คาดว่าจะเพิ่มขึ้นช้าลงตามจำนวนการจดทะเบียนนิติบุคคลของผู้ประกอบการใหม่ที่โตช้าลง
    .
    ความต้องการใช้ไฟฟ้าภาคครัวเรือน พบว่าการใช้ไฟฟ้าภาคครัวเรือนคาดว่าจะโตขึ้น 2% ในปี 2568 ชะลอตัวจาก 5.2% ในปี 2567 ความต้องการใช้ไฟฟ้าในภาคครัวเรือนในปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่องตามการเติบโตของเศรษฐกิจและอัตราค่าไฟฟ้าที่ใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า เนื่องจากไฟฟ้าเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตในยุคปัจจุบันอย่างไรก็ตาม ในปี 2568 ภาพรวมความต้องการใช้ไฟฟ้าคาดว่าจะเติบโตช้าลง จากการเพิ่มขึ้นของจำนวนที่อยู่อาศัยตามทะเบียนบ้านสะสมที่ช้าลง โดยคาดว่าจะโต 1.1% จาก 1.3% ในปี 2567ตลาดผลิตไฟฟ้าเพื่อขายให้ผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม รายได้จากการขายไฟฟ้าแก่ผู้ใช้งานในนิคมอุตสาหกรรมในปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง แม้จะชะลอลงตามความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นช้าลงจากปีก่อนหน้า รายได้จากการขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าฟอสซิลเอกชนให้แก่ผู้ใช้งานในนิคมอุตสาหกรรมมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง แม้อัตราการเติบโตจะชะลอลงเมื่อเทียบกับปี 2567 สาเหตุหลักมาจากความต้องการใช้ไฟฟ้าในนิคมอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นช้าลง โดยในปี 2568 คาดว่าจะโต 0.9% จาก 2.7% ในปีก่อนหน้า เนื่องจากกิจกรรมการผลิตเติบโตช้าลงจากการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะจากสินค้าจีนที่ล้นตลาด
    .
    ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าฟอสซิลเอกชนยังคงมีความสำคัญจากความสามารถในการตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานในด้านคุณภาพและความเสถียรของปริมาณไฟฟ้า ซึ่งพลังงานหมุนเวียนยังไม่สามารถตอบโจทย์ได้ในปัจจุบัน นอกจากนี้ ราคาไฟฟ้าฟอสซิลที่ทำสัญญาซื้อขายกับผู้ใช้งานในนิคมอุตสาหกรรมมักเป็นราคาที่มีส่วนลดจากค่าไฟฐานและค่า Ft ทำให้ผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมมีแรงจูงใจในการเลือกใช้ไฟฟ้าจากเอกชนมากขึ้น ดังนั้น แม้ว่าการเติบโตของรายได้จากการขายไฟฟ้าจะมีเเนวโน้มชะลอลงในปี 2568 แต่ทิศทางในระยะข้างหน้ายังคงเป็นบวกจากอุปสงค์ที่จะยังเติบโต โดยเฉพาะจากผู้ประกอบการใหม่ เช่น ธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ ที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงความเสี่ยงของธุรกิจโรงไฟฟ้าฟอสซิลในระยะกลางถึงยาว มีดังนี้
    .
    ร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2567-2580 (ร่าง PDP 2024) มีเป้าหมายในการลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลและเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนในระบบไฟฟ้า โดยกำลังการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิลมีแนวโน้มลดลงจาก 38,108 MW ในปี 2566 สู่ 30,453 MW ในปี 2580 หรือลดลงราว 20% ขณะที่สัดส่วนอุปทานเชื้อเพลิงฟอสซิลคาดว่าจะลดลงจาก 72% ในปี 2566 สู่ 49% ในปี 2580 อย่างไรก็ตาม ในระยะยาว การผลิตไฟฟ้าโดยเชื้อเพลิงฟอสซิลจะมีทิศทางลดลงได้อีก เพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี 2608
    .
    ความจำเป็นในการปรับตัวและการเปลี่ยนผ่านสู่ประเภทเชื้อเพลิงใหม่ โดยเฉพาะพลังงานหมุนเวียนเมื่อหมดสัญญากับคู่ค้า แม้โรงไฟฟ้าฟอสซิลโดยมากจะถือสัญญาการซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับคู่ค้า อย่างไรก็ตาม แรงกดดันจากกระแสรักษ์โลกและการพัฒนาของเทคโนโลยี ส่งผลให้ธุรกิจจำเป็นต้องมีการปรับตัวสู่พลังงานทางเลือกใหม่ ซึ่งต้องใช้เงินในการลงทุนในการพัฒนาเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
    .
    ผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมมีแนวโน้มหันมาใช้ไฟฟ้าสะอาดมากขึ้น เนื่องจาก พ.ร.บ. Climate Change และกฎระเบียบการค้าโลกด้านสิ่งแวดล้อมที่เคร่งครัดมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่มีการส่งออกสินค้าไปยังสหภาพยุโรป ที่มีการใช้มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM) ซึ่งทำให้ผู้ผลิตในนิคมอุตสาหกรรมเริ่มหันมาใช้พลังงานหมุนเวียนมากยิ่งขึ้น เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดส่งออก
    .
    อุปทานก๊าซธรรมชาติจากแหล่งในประเทศมีแนวโน้มลดลง ส่งผลให้ต้องมีการนำเข้า LNG (ก๊าซธรรมชาติเหลว) ซึ่งจะเพิ่มต้นทุนในการผลิตไฟฟ้า ร่างแผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ พ.ศ. 2567-2580 (ร่าง Gas Plan 2024) ระบุว่าจากอุปทานทั้งหมด การจัดหาก๊าซธรรมชาติจากแหล่งในไทยมีแนวโน้มลดลงเหลือเพียง 36% ในปี 2580 จาก 55% ในปี 2567 สวนทางกับการนำเข้า LNG ที่เพิ่มขึ้น โดยราคา LNG สูงกว่าก๊าซธรรมชาติที่ผลิตได้ในประเทศ ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าฟอสซิลมีทิศทางเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม สถานการณ์อุปทานก๊าซธรรมชาติในไทยอาจมีการเปลี่ยนแปลง หากมีการเจรจาเกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา (OCA) ซึ่งเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติ ที่ยังไม่ทราบผลแน่ชัด และต้องใช้ระยะเวลา
    .
    อ่านเพิ่มเติม คลิก https://bit.ly/3D29sPM
    .
    Website: https://btimes.biz
    Facebook: https://web.facebook.com/btimesch3
    YouTube: https://www.youtube.com/@BTimes_ch3
    TikTok : https://www.tiktok.com/@btimes_ch3
    .
    #ศูนย์วิจัยกสิกรไทย #ก๊าซธรรมชาติ #ธุรกิจโรงไฟฟ้าฟอสซิล #ไฟฟ้า #พลังงาน #BTimes

    https://www.facebook.com/share/p/eiwnDQDicvJBkw4p/
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Dec 8, 2024 ได้อย่างเสียอย่าง! เอกชนเกินครึ่งไม่ขึ้นเงินเดือนรับปี 68 แต่พร้อมจ่ายโบนัส สภาพเศรษฐกิจไทยซบเซา หลายบริษัทขาดสภาพคล่องยันสายป่านขาด

    ดร.ธนิต โสรัตน์ ประธานสภาที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาแรงงานแห่งชาติ เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นการจ้างงาน การจ่ายโบนัสและการปรับค่าจ้าง ซึ่งคณะกรรมการสภาที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาแรงงานแห่งชาติ กอง ยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงานได้ทำการสำรวจ

    โดยมีกลุ่มตัวอย่างตอบแบบสอบถามจำนวน 852 กิจการ ครอบคลุม 31 จังหวัด ทั่วประเทศ ในทุกประเภทกิจการ ตั้งแต่ขนาดเล็ก ขนาดกลางและขนาดใหญ่ระหว่างวันที่ 1 - 22 พฤศจิกายนที่ผ่านมา พบว่า สถานประกอบการส่วนใหญ่ร้อยละ 41.1 ระบุว่า พร้อมจ่ายโบนัส ส่วนที่ตอบว่าไม่จ่ายอยู่ที่ร้อยละ 31.1 และมีส่วนร้อยละ 27.1 ตอบว่า ไม่แน่ใจ

    ขณะที่แนวโน้มการปรับค่าจ้าง พบว่า สถานการณ์เศรษฐกิจปี 2568 ไม่เอื้อต่อการปรับค่าจ้าง โดยภาพรวมสถานประกอบการส่วนใหญ่ ระบุไม่ปรับค่าจ้าง คิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 46.4 / แต่ก็มีถึงร้อยละ 42.1 ที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มค่าจ้างเฉลี่ยปรับขึ้นร้อยละ 4- 5 อีกร้อยละ 11.5 บอกยังไม่แน่ใจว่าจะปรับหรือไม่ปรับ

    ผลสำรวจยังระบุด้วยว่า เศรษฐกิจที่ยังอยู่ในภาวะซบเซา สถานประกอบการจำนวนมากขาดสภาพคล่อง ทำให้ส่วนใหญ่ สูงถึงร้อยละ 52.8 บอกว่า จะไม่มีการจ้างงานเพิ่ม และร้อยละ 24.2 บอกอาจลดการจ้างงานลง

    #เงินเดือน #โบนัส #เศรษฐกิจ #BTimes

    https://www.facebook.com/share/mNikhkCC5u3GHkwg/
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    1️⃣ หากทำธุรกิจในนามบุคคลธรรมดา รายได้บุคคลที่ไม่ใช่เงินเดือน มาตรา 40 วงเล็บ 2-8 หากมีรายได้เกิน 60,000 บาทต่อปี ก็ต้องมีการยื่นแบบภาษี

    2️⃣
    เงินเข้าเกิน 1.8 ล้าน ต้องเสียภาษีเท่าไหร่
    ก็ต้องไปดูว่า รายได้ เป็นประเภทไหน
    เพราะรายได้ตามมาตรา 40 จะแบ่งเป็นทั้งหมด 8 ประเภท

    ซึ่งแต่ละประเภท
    #หักค่าใช้จ่ายได้แตกต่างกัน

    ประเภทที่ 1 เงินเดือน
    ประเภทที่ 2 ค่าแรง
    หัก 50% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท

    ประเภทที่ 3 ลิขสิทธิ์
    หัก 50% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท

    ประเภทที่ 4 ดอกเบี้ยเงินปันผล
    ไม่สามารถหักค่าใช้จ่ายได้

    ประเภทที่ 5 ค่าเช่า
    หักเหมาได้ 30%

    ประเภทที่ 6 อาชีพอิสระ
    หักเหมาได้ 30 ถึง 60%

    ประเภทที่ 7 รับเหมาก่อสร้าง
    หักเกมาได้ 60%

    ประเภทที่ 8 นอกเหนือจาก 1-7
    หัดเหมาได้ 60%

    3️⃣ การคำนวณภาษีบุคคลธรรมดาต้องนำรายได้ - ค่าใช้จ่าย ตามที่ข้อ 2 ได้เขียนเอาไว้ หลังจากนั้นต้องนำมาหักค่าลดหย่อน ซึ่งปริมาณของค่าลดหย่อนของแต่ละคนไม่เท่ากัน เช่นแต่งงานหรือยัง มีลูกกี่คน พ่อแม่แก่ชราอยู่ในความดูแลหรือไม่ ผ่อนบ้านหรือเปล่า ซื้อประกันหรือไม่ และอีกมากมาย

    4️⃣ ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ต้องเตรียมข้อมูลตามข้อ 1 ถึงข้อ 3 ให้ครบถ้วน เข้าสู่การคำนวณภาษี

    รายได้
    หัก ค่าใช้จ่าย
    หัก ลดหย่อน
    เงินได้สุทธิพึงประเมิน

    เรามาคำนวณภาษีตามอัตราก้าวหน้า 5 ถึง 35% ตามที่สรรพากรกำหนด

    5️⃣ ขายสินค้าประเภทไหน หากรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ก็ต้องจดภาษีมูลค่าเพิ่ม ต้องบวกภาระภาษี 7% เข้าไปในราคาขาย แล้วเมื่อเก็บภาษีมาแล้ว ต้องนำมาคำนวณหักกับภาษีซื้อที่เรามีสิทธิ์นำมาหักได้

    และนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มทุกเดือน

    #สรุป
    หากถามนักบัญชีด้วยประโยคสั้นๆว่า

    รายได้เกิน 1.8 ล้านต้องเสียภาษีกี่บาท
    รายได้ปีละ 3 ล้านต้องเสียภาษีเท่าไหร่

    หากมีคนตอบคุณได้เป็นจำนวนเงินที่เป๊ะๆ นั่นหมายความว่าเขาก็ต้องเดาข้อมูลแล้วตอบแบบคร่าวๆ ซึ่งไม่ควรนำคำตอบนั้นมายึดถือ

    การประมาณการภาษีที่ถูกต้อง คือการมีความรู้ในระดับพื้นฐาน การมีเครื่องมือที่จะทำให้คุณคำนวณภาษีได้ง่ายๆ

    เมื่อเราคำนวณภาษีออกมาแล้ว เราจะตัดสินใจ #วางแผนภาษีได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ

    บางคนรายได้ 50 ล้าน ก็เป็นบุคคลจด vat ศึกษาข้อมูลเปรียบเทียบของการเป็นบุคคลและการเป็นบริษัท

    ศึกษาข้อดีข้อเสีย
    ความพร้อมในการทำเอกสาร
    ความคล่องตัวในการใช้เงิน

    แต่ละรูปแบบธุรกิจมีความแตกต่างกัน

    แนะนำให้คุณเติมความรู้ความเข้าใจ
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง #ร้านค้าบุคคล

    ธนาคารส่งข้อมูลให้สรรพากร
    platform ส่งข้อมูลให้สรรพากร
    การค้าขายแบบนอกระบบ ใกล้หมดลงแล้ว

    https://www.facebook.com/share/DiB3JitQfAEaFdHy/
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    FB_IMG_1733812662233.jpg

    สั่งอพยพด่วน! ภูเขาไฟฟิลิปปินส์ปะทุรุนแรงครั้งที่ 2 ในรอบปี ควันเถ้าถ่านลอยสูงกว่า 3 กม. - แนะประชาชนอยู่ห่าง 6 กม.
    อ่านข่าวต่อ : https://www.ejan.co/world/mr1k420o5xi
    https://www.facebook.com/share/p/a7Gctvr2JZAXH3Tq/
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ความจริง ผมสนับสนุน รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการคลังคนนร้มาก เพราะแนวทางภาษีของเขา เดือนร้อนตั้งแต่ชนชั้นล่าง ยันชนชั้นกลาง ซึ่ง ก็ เป็นที่แน่ใจว่า ถ้าแนวทางรัฐมนตรีทำได้สำเร็จ พรรคเพื่อไทยน่าจะหายไป หรือ สส แทบไม่เหลือแน่ในการเลือกตั้งครั้งหน้า มูลค่าเพิ่ม 15 % ภาษีบุคคลธรรมดา ดูเหมือนจะไม่มีค่าลดหย่อน และไม่มีขั้นบันได ซึ่งถ้าไม่มีค่าลดหย่อน บุคคล ที่ยื่นแบบเสียภาษี และ้ต้องเสียภาษีก็จะเพิ่มขึ้น เพราะเงินได้ที่ต้องเสียภาษีองบุคคลเหล่านั้น ไม่มีค่าอะไรมาลดหย่อน มีรายได้เท่าไหร่ก็เอารายได้นั้นมาคิดภาษีเลย และเมื่อบุคคลต้องเสียภาษีแล้ว ถ้ามีขั้นบันได ภาษี ขั้นต่ำสุด ก็ 5% ซึ่งถ้ายกเลิกขั้นบันได และคิด 15 % บุคคล ที่ยื่นแบบแสดงรายได้ ที่มีรายได้้เกิน 150000 บาท ก็จ่ายภาษีกันหนักเลย น่าชื่นชมรัฐมนตรีมาก ที่เพิ่มทั้งมูลค่าเพิ่ม ยันภาษีบุคคลธรรมดา เก็บภาษีทั้งฝั่งรับ และจ่ายอย่างหนักหน่วง คงจะมีอะไรไม่พอใจพรรค ถึงทำเพื่อให้ประชาชน คิดว่าทำแบบนี้ หลังจากนี้ใครจะเลือก. เป็นรฐมนตรีที่น่าชื่นชม จอแสดงความนับถือในคุณความดีครับ จะได้รายได้เยอะแน่ และจะมีโครงการดีๆ แบบจำนำข้าว ตามมาอีกหลายรายการ


    Screenshot_2024-12-10-16-20-00-97_40deb401b9ffe8e1df2f1cc5ba480b12.jpg

    Screenshot_2024-12-10-16-10-09-37_f9ee0578fe1cc94de7482bd41accb329.jpg
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รุมทึ้ง!!! (ภาพที่คุ้นตา?) กองทัพอเมริกา/ตุรกี/อิสราเอล ต่างก็กระโจนเข้าโจมตีศัตรูบนแผ่นดินซีเรีย --- ศัตรูใครศัตรูมัน แต่ฉวยโอกาส ห้ำหั่นให้แหลกลาญ
    เท่ากับว่ากบฏโค่นล้ม "อัสซาด" สำเร็จครั้งนี้ เป็นการเชื้อเชิญให้นานาอารยประเทศกลับเข้ามาเขย่าดินแดนซีเรียให้ลุกเป็นเพลิง
    ไม่ใช่ proxy war (ที่ประเทศใหญ่หนุนหลังกองกำลังในซีเรียรบกับอีกกองกำลัง) แต่ว่าเป็น สงครามย่อยแบบเฉพาะกลุ่ม (ที่กองทัพประเทศใหญ่ลุยกองกำลังเองเลย)

    อเมริกาประหัตประหาร "ไอเอส" --- มีทั้งโจมตีทางอากาศ และภาคพื้นดิน (มีทหารประจำการอยู่) เพื่อมิให้ผุดกำเริบขึ้นมา

    อิสราเอลเริ่มตามเก็บกวาดกองทัพของ "อัสซาด" --- ตามล้างตามเช็ดไม่ให้เหลือหน่อเชื้อได้ฟื้นกำเนิดใหม่ (โจมตีทางอากาศ)
    *ก่อนนี้ อิสราเอลเพิ่งประกาศว่าจะเคลื่อนพล (ภาคพื้นดิน) ไปตรึงตรงที่ราบสูงโกลัน โดยล้ำจากชายแดนเข้า "เขตกันชน" เป็นการชั่วคราว
    แต่ไม่ทันไร ไม่กี่อึดใจ ก็โจมตีทางอากาศซะแล้วจ้า
    (เหมือนแบ่งงานกันทำกับอเมริกา?)

    ตุรกีกวาดล้าง "เคิร์ด" --- นี่ยัง proxy อยู่ ไม่ต้องถึงมือกองทัพ ; ใช้กองกำลังแห่งชาติซีเรีย (SNA) สังหารกองกำลัง YPG แห่ง SDF ของเคิร์ด (ภาคพื้นดิน)
    *หมายเหตุ ยุทธการของตุรกีนี่ไม่ใหม่ มีทำเป็นระยะๆ เรื่อยๆ ไม่มีขาดอยู่แล้ว

    ภารกิจใครภารกิจมัน

    ตุรกีต้องปราบเคิร์ดในซีเรีย เพื่อมิให้เคิร์ดในตุรกีหือ (เพื่อมิให้โตแล้วเชื่อมเป็นเครือข่าย) --- เป็นเรื่องความมั่นคงของชาติ
    อิสราเอล ... ก็ถือว่าซีเรียติดชายแดน มีความชอบธรรม (มั้ง)
    อเมริกา ... ก็ถือว่าต้องพิทักษ์โลก (มั้ง)

    ส่วนอิหร่านและรัสเซีย ยังไม่ว่าง

    ขณะที่ กองกำลังฮายัตฯ ที่เพิ่งยึดอำนาจมาได้
    ถามว่าจะอยู่ได้นานแค่ไหน
    ตราบใดที่ยังไม่มีเหตุผลให้ต้องถูกทำลาย

    อย่าลืม ... "เหตุผล" มันอยู่ที่ความคิด มันมีขึ้นมาได้ทุกเมื่อ

    ความโกลาหลก่อตัวขึ้นแล้ว
    นี่แค่ยกแรก
    ฟ้าหลังฝน คล้ายว่ามีฝุ่นควัน

    https://www.facebook.com/share/p/AnzXjXGT7PTNZ7dY/
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อย่าไปกังวลกับ มูลค่าเพิ่มอย่างเดียว ภาษี บุคคล ธรรมดา ก็น่าห่วง เขาน่าจะเพิ่มจำนวนผู้ต้องจ่ายภาษี ไม่ใช้หน้าใหม่ แต่มาจากผู้ที่ต้องยื่นแบบแสดงรายได้ ถ้าไม่มีลดหย่อน คนที่มีรายได้ถึงเกณฑ์จ่าย่าจะเพิ่มขึ้นมาก และเมื่อต้องจ่ายแล้ว ก็เห็นว้าอัตราเดียว 15 % ซึ่งมัคนจำนวนมากที่ต้องจ่ายโดยที่เดิม อาจจะจ่ายแค่ 15 % และเงินที่มาคำนวณภาษี ก็น่าจะเหลือไม่มากเพราะหักค่าลดหย่อนไปแล้ว

    รัฐมนตรี ฉลาดมาก เพิ่มจำนวนผู้จ่ายภาษีจาก ฐานผู้ยื่นแบบแสดงรายได้เดิม เพิ่มจำนวนรายได้จากการจัดเก็บภาษีอัตราเดียว 15 % โดยยกเลิกการเก็บภาษีขั้นบันได คนได้ประโยชน์คือคนรวย เพราะรายได้ที่เกิน กว่า 15 % ที่ต้องจ่ายเยอะ อาจจะ 20 หรือ 25 % ต่อไป เหลือ 15 % หมด vat ไม่ใช่คำตอบเดียว แต่มีคำตอบที่ 2 คือ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นอกจากที่อธิบายมาตอนต้นแล้ว ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคล ก็มีผลกับราคาสินค้า เพราะร้านค้า บางแห่งยอกจากต้องชำระภาษีรายเดือน ภาษี vat รับ ลบ จ่ายแล้ว ทุกครึ่งปี หรือ หนึ่งปี บางร้านค้า อาจจะจดเป็นนิติบุคคล เช่น บริษัท หรือห้างหุ้นส่วน บางร้านก็เป็นบุคคล ที่เป็นเจ้าของ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ก็มาจาก เอาเงินรายได้ ก็เป็นรายได้จากการจำหน่ายสินค้ารวม 1 ปี ลบจากรายจ่ายที่ซื้อสินค้า รวม 1 ปี เป็นรายได้สุทธิ มาลบออกจากค่าลดหย่อน และถ้าไม่มีการหักค่าลดหย่อนแล้ว และไม่มีภาษีขั้นบันได เกิดเป็นร้านค้าเล็กๆ ที่ไม่ได้จดเป็นนิติบุคคล หรือเป็นนิติบุคคลที่มีรายได้ไม่มาก จะมีรายจ่ายค่าภาษี เพิ่มขึ้นมาในปีหนึ่ง จากเดิมเท่าไหร่ และยิ่งมี vat เพิ่มอีก สุดท้ายเพื่อให้ร้านค้าอยู่ได้ ก็ต้องเพิ่มราคาสินค้า จากที่ก่อนเอามาคิด vat 15 % เพิ่มขึ้นอีก เพื่อให้มีรายได้พอจ่าย vat และภาษีบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล ที่จะไม่มีค่าลดหย่อน และไม่มีขั้นบันได

    เดือดร้อนกันหนักเลย vat 15 % เป็นแค่กระไดก้าวแรก ก้าวต่อๆ ไปคือภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และนิติบุคคล

    คนที่คิดวิธีเก็บภาษีแบบนี้ ไม่ธรรมดาเลย
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เฮา สุดท้าย ผมจะไม่เอาเรื่องรัฐบาลขึ้นภาษีมาพูดแล้วคนับ หัวข้อ สุดท้าย ผมเชื่อสูตร 15 15 15 ธุรกิจเล็ก ๆ ส่วนใหญ่ ธุรกิจ กลางๆ บางแห่ง ตายเรียบ ไม่ต้องไปคิดถึงประชาชนทั่วไป

    สุดยอด
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Dec 10, 2024 ขึ้นก่อนไทย! อินโดนีเซียเล็งเก็บภาษี VAT 12% ให้เริ่มมีผล 1 ม.ค. 68 นี้ บังคับใช้เฉพาะต่อสินค้าฟุ่มเฟือย สินค้าด้านการศึกษาและสุขภาพได้รับการยกเว้น

    นายซัฟมี ดาสโก อาห์หมัด รองประธานรัฐสภาอินโดนีเซีย กล่าวว่า ประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต ผู้นำอินโดนีเซีย ได้เห็นพ้องต่อการปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สู่ระดับ 12% โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2568 จากปัจจุบันที่ระดับ 11%

    อย่างไรก็ดี การปรับเพิ่มภาษี VAT ดังกล่าวจะมีการบังคับใช้เฉพาะต่อสินค้าฟุ่มเฟือย ขณะที่สินค้าอื่นยังคงเรียกเก็บภาษี VAT ในระดับ 11% ส่วนอาหาร, รายการสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาและสุขภาพจะได้รับการยกเว้นจากการเรียกเก็บภาษี VAT

    รัฐบาลอินโดนีเซียระบุว่า การปรับเพิ่มภาษี VAT ดังกล่าวมีความจำเป็นสำหรับงบประมาณ รวมทั้งการใช้มาตรการกระตุ้นทางการคลัง

    ประธานาธิบดีปราโบโวกล่าวก่อนหน้านี้ว่าเขาต้องการเพิ่มรายได้จากการจัดเก็บภาษีสู่ระดับ 18% ของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) จากปัจจุบันที่ระดับ 10%

    #อินโดนีเซีย #ภาษีแวต #VAT #ภาษีมูลค่าเพิ่ม #BTimes

    https://www.facebook.com/share/p/zjUKEc1HLhFu6YQG/
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นอนหลับฝันดีครับ ไม่ได้ราตรีสวัสดิ์ มาหลายปีแล้ว ไม่น่าเชื่อน่ะว่า ผมจะเปิดกระทู้นี้ได้มายาวนานมาก ขอบคุณมากๆ น่ะครับ
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    มกราคม 2568 ชุมชนเกาะบุโหลนเลจะผ่อนระบบ SHSDC:pAYGO ผ่านกลุ่ม ครบ 36 งวด = 100%
    ความสำเร็จนี้เกิดจากอะไร?
    1.) ชุมชนในพื้นที่เกาะห่างไกลที่ไฟฟ้าสายส่งเข้าไม่ถึงเลือกใช้ระบบ SHS แบบ DC แบบเติมเงิน จึงคุ้มค่าในการลงทุนที่ตอบโจทย์เชิง เศรษฐศาสตร์และในมิติความยั่งยืน
    2.) การเสริมพลัง EMPOWER กลุ่มบริหารจัดการผ่านเครือข่ายกระบวนการมีส่วนร่วม

    Solar Home : Pay As You Go คือ แพลตฟอร์มการจ่ายเงินที่คุ้มค่า ประหยัด เชื่อถือได้ ง่ายต่อการติดตั้ง+ซ่อมบำรุง ชุมชนสามารถจัดการเอง และถ้าเราเลือก ส่งเสริม SHS 12VDC 100% ทุกครัวเรือน ยกตัวอย่าง ชุมชนเกาะบุโหลนเล จ.สตูล จ่ายค่าระบบ DC 12 V ใช้พลังงาน 1 kw. แบตเตอรี่ต่อวัน (ทีวีหลอดไฟ พัดลม ตู้เย็น 6.5 คิว) DC จะจ่ายเดือนละ 900 บาท ผ่อนกลุ่ม 36 เดือน ถ้าตีเป็นหน่วย ไฟฟ้า คิดดังนี้
    900/30วัน = 30บาท ต่อ1 unit ด้วยอุปกรณ์ DC ทำให้ใช้นาน (18-24 ชม.)กว่าอุปกรณ์ AC เกือบ 4 เท่า (ยกตัวอย่าง TVled dc 32 นิ้ว กินไฟ 12 วัตต์/ชม. TVled AC กินไฟ 40 วัตต์/ชม.) และที่สำคัญเงินลงทุน DC ต่อครัวเรือนประมาณ 3X,XXX บาท (อ้างอิงจากชุมชนเกาะบุโหลนเล) (รวมค่าลงทุนอุปกรณ์แล้วทั้งหมด tv หลอดไฟ พัดลม ตู้เย็น) เมื่อเทียบกับ SHS AC ที่ลงทุนประมาณ 5X,XXX บาท (ไม่รวมอุปกรณ์ไฟฟ้า) (อ้างอิงจากโครงการ SHS ภาครัฐ) SHS DC จะประหยัดงบประมาณกว่า AC ถึง 40%
    หมายความว่า 1 เกาะ 100 ครัว shs dc ถึงตู้เย็น+พร้อมอุปกรณ์ใหทุกครัวเรือนจะใช้เงินลงอุปกรณ์ + ค่าพัฒนาพื้นที่ 4 คน จะใช้งบลงทุนต่อเกาะต่อโครงการ รวม 5 ล้าน ถ้าไมโครกริดปักเสาลากสาย จะใช้ประมาณ 15 ล้าน (อ้างอิงจากโครงการ Micro-grid ภาครัฐ) ยังไม่รวมเครื่องใช้ไฟฟ้า AC ครัวเรือนละ 8,000 บาท (ในกรณีที่เราจัดให้ทุกหลังแบบเท่าเทียม)

    นายพิรัฐ อินพานิช
    กพภ.สป.พน. (ทีมร่วมพัฒนาโครงการ)
    เรียบเรียบ

    1733898202471.jpg 1733898205440.jpg 1733898207290.jpg 1733898209076.jpg 1733898219492.jpg 1733898225831.jpg 1733898225700.jpg 1733898225541.jpg 1733898225347.jpg 1733898226889.jpg 1733898226275.jpg 1733898227391.jpg 1733898227775.jpg
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    “มลพิษทางทะเล” ไม่ใช่เพียงวิกฤตที่ไกลตัว แต่คือระเบิดเวลาที่อาจเปลี่ยนแปลงอนาคตของโลกทั้งใบ มหาสมุทรซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตและพลังแห่งธรรมชาติกำลังเผชิญปัญหาขยะพลาสติกสะสมอย่างรุนแรง ทุกปีมีพลาสติกจำนวนมหาศาลไหลลงทะเล ทำลายระบบนิเวศและปนเปื้อนห่วงโซ่อาหาร ขณะที่การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศซ้ำเติมปัญหาด้วยการลดออกซิเจนในน้ำ จนสัตว์ทะเลไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้ แต่ท่ามกลางความท้าทายนี้ ญี่ปุ่นได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในการพัฒนานวัตกรรมพลาสติกชีวภาพสุดล้ำ เพื่อเปลี่ยนวิกฤตให้กลายเป็นโอกาส สร้างความหวังใหม่ให้กับท้องทะเลและมนุษยชาติ
    .........................................................................................
    :: ส่องภาพรวมวิกฤตมลพิษทางทะเลในปี 2024 ::
    .
    มลพิษทางทะเลได้กลายเป็นหนึ่งในปัญหาเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อโลกอย่างรุนแรง โดยเฉพาะขยะพลาสติกที่สะสมในมหาสมุทร ซึ่งคาดว่ามีอยู่ระหว่าง 75-199 ล้านตัน ตามรายงานของ World Economic Forum และมีขยะพลาสติกลงสู่มหาสมุทรเพิ่มขึ้นราว 14 ล้านตันต่อปี ส่วนใหญ่มาจากแหล่งบนบก เช่น แม่น้ำและชายฝั่ง
    .
    การคาดการณ์ในอนาคตชี้ให้เห็นว่า หากไม่มีการแก้ไข การสะสมของพลาสติกในมหาสมุทรอาจเพิ่มขึ้น 3 เท่า ภายในปี 2040 ซึ่งจะส่งผลให้เศษพลาสติกในมหาสมุทรมีปริมาณเพิ่มขึ้น 4 เท่าภายในปี 2050 ระบบนิเวศทางทะเลจะเผชิญกับความเสี่ยงร้ายแรง เช่น ไมโครพลาสติก (ชิ้นส่วนพลาสติกขนาดเล็กที่เสื่อมสภาพจากขยะพลาสติกทั่วไป) ที่สามารถปนเปื้อนห่วงโซ่อาหารและก่ออันตรายต่อสิ่งมีชีวิต
    .
    นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังทำให้อุณหภูมิของมหาสมุทรเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ออกซิเจนในมหาสมุทรลดลงราว 2% นับตั้งแต่ทศวรรษ 1960 สภาพเช่นนี้นำไปสู่การเกิด “เขตตาย” (Dead Zone) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีออกซิเจนต่ำจนสิ่งมีชีวิตในทะเลไม่สามารถอาศัยอยู่ได้
    ..........................................................................................
    :: นวัตกรรมล่าสุดจากญี่ปุ่น พลาสติกชีวภาพที่เปลี่ยนโฉมอนาคตระบบนิเวศทางทะเล ::
    .
    ท่ามกลางวิกฤตที่รุนแรง นักวิจัยยนำโดย ทาคุโซ ไอดะ จาก RIKEN Center for Emergent Matter Science ประเทศญี่ปุ่น ได้พัฒนาพลาสติกชนิดใหม่ที่ย่อยสลายได้อย่างรวดเร็วในสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ เช่น น้ำทะเลและดิน พลาสติกนี้ได้รับการออกแบบให้เหมาะสำหรับการใช้งานหลากหลายตั้งแต่บรรจุภัณฑ์จนถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์
    .
    คุณสมบัติเด่นของพลาสติกชนิดใหม่ คือ การย่อยสลายที่รวดเร็ว โดยจะเริ่มละลายในน้ำทะเลภายในไม่กี่ชั่วโมงและย่อยสลายได้สมบูรณ์ในดินภายใน 10 วัน เท่านั้น ระหว่างกระบวนการย่อยสลาย พลาสติกจะปลดปล่อยสารอาหาร เช่น ฟอสฟอรัสและไนโตรเจน ซึ่งเป็นสารสำคัญที่ช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน
    .
    นอกจากนี้ ยังมีโครงสร้างทางเคมีที่ล้ำสมัย พลาสติกชนิดนี้สร้างจากโมโนเมอร์ไอออนิกที่เชื่อมด้วยพันธะไอออนิกแบบกลับได้ ช่วยให้วัสดุมีความแข็งแรงและยืดหยุ่นระหว่างการใช้งาน แต่สามารถสลายตัวได้ง่ายเมื่อสัมผัสกับน้ำเกลือ ส่วนประกอบสำคัญ ได้แก่ โซเดียมเฮกซาเมตาฟอสเฟต และไอออนกัวนิดิเนียม ซึ่งทำงานร่วมกันเพื่อสร้างวัสดุที่มีความปลอดภัยและปรับแต่งได้
    .
    ที่สำคัญคือ ไม่สร้างมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม พลาสติกชนิดใหม่นี้ไม่มีพิษและไม่ติดไฟ ซึ่งหมายความว่าไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขณะย่อยสลาย ซึ่งแตกต่างจากพลาสติกทั่วไปที่สามารถปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมา นอกจากนี้ ยังไม่ทิ้ง ไมโครพลาสติกหรือเศษพลาสติกขนาดเล็กที่มักเป็นภัยต่อสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิต
    .
    ขณะเดียวกันก็มีความสามารถในการรีไซเคิล โดยหลังจากพลาสติกละลายในน้ำเกลือ สามารถขึ้นรูปใหม่ได้ในอุณหภูมิที่สูงกว่า 120°C เช่นเดียวกับเทอร์โมพลาสติกชนิดอื่นๆ โดยที่สามารถนำส่วนประกอบสำคัญกลับมาใช้ใหม่ได้สูงถึง 91% ซึ่งลดความยุ่งยากในการรีไซเคิลเมื่อเทียบกับพลาสติกแบบดั้งเดิมและลดการใช้ทรัพยากรในการผลิตพลาสติกใหม่
    .........................................................................................
    :: การใช้งานและอนาคตของพลาสติกชีวภาพ ::
    .
    พลาสติกชนิดใหม่นี้สามารถนำไปใช้งานได้อย่างหลากหลาย เช่น วัสดุบรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม, อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ปลอดภัยและปรับแต่งได้ เช่น เครื่องมือผ่าตัด หรืออุปกรณ์ฝังในร่างกาย และการพิมพ์ 3 มิติ สำหรับสร้างชิ้นส่วนที่ต้องการความแม่นยำ
    นอกจากนี้ ยังเป็นตัวเลือกที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมที่มุ่งเน้นความยั่งยืน เช่น อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มที่ต้องการลดปัญหาขยะจากบรรจุภัณฑ์
    .
    พลาสติกชีวภาพจากญี่ปุ่นไม่ได้เป็นเพียงนวัตกรรมล้ำสมัย แต่คือคำตอบแห่งอนาคต ที่เชื่อมโยงพลังของวิทยาศาสตร์เข้ากับจิตสำนึกของผู้คนเพื่อดูแลโลกใบนี้ เพราะวิกฤตมลพิษทางทะเลไม่ใช่ปัญหาของประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่มันคือความท้าทายร่วมกันของมนุษย์ทุกคน การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น การลดใช้พลาสติกหรือสนับสนุนนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน อาจดูเหมือนหยดน้ำในมหาสมุทร แต่หยดน้ำเหล่านั้นสามารถรวมพลังกันเป็นคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้
    .........................................................................................
    ที่มา :
    .
    https://www.riken.jp/en/news_pubs/research_news/pr/2024/20241122_1/index.html
    .
    https://sustainabilitymag.com/articles/how-riken-university-of-tokyos-dissolvable-plastic-works
    .
    https://timesofindia.indiatimes.com...ofinterest&utm_medium=text&utm_campaign=cppst
    .
    https://www.azocleantech.com/news.aspx?newsID=35360
    .
    https://www.ioc.unesco.org/en/articles/state-ocean-report-2024-date-knowledge-ocean-action
    .
    https://www.salika.co/2024/12/10/japan-bio-plastic-innovation/
    .
    Knowledge Sharing Space | www.salika.co
    .
    #ญี่ปุ่น #นวัตกรรม #พลาสติกชีวภาพ #มลพิษทางทะเล #salikaco

    https://www.facebook.com/share/f3CZf5o3jgm4ZvZ1/
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    แผนแก้เผ็ด! จีนจะนวดให้หยวนอ่อน สลายพิษกำแพงภาษีอเมริกา! กลยุทธ์ "หักล้าง" (offset) ต้านฤทธิ์!
    มันก็ง่ายๆ งี้ครับท่าน
    1. ถ้ารัฐบาลอเมริกาขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนสูงๆ --- ผล สินค้าจีนในอเมริกาจะแพงขึ้น ก็ขายแข่งยากขึ้น
    2. แก้ลำ ทางแรก ลดราคาสินค้าจีนให้ถูกๆ ลงสิ (ให้เจ๊าๆ ภาษีที่ขึ้น) --- ผล สินค้าจีนยังแข่งได้เปรียบอยู่ แต่กำไรพ่อค้าแม่ค้าจีนก็หาย ดีไม่ดีจะขาดทุนเอา
    3. แก้ลำ อีกทาง กดค่าเงินหยวนให้อ่อนยวบ --- ผล แปลงมาเป็นเงินดอลลาร์ที่ตลาดอเมริกาแล้ว ราคาสินค้าจีนก็ถูกลง (เจ๊าๆ ภาษีที่ขึ้น) โดยที่พ่อค้าแม่ค้าจีนยังกำไรเท่าเดิม

    ฝรั่งตีข่าวว่ารัฐบาลจีนวางแผนข้อ 3. เพื่อรับมือกับกำแพงภาษีของ โดนัลด์ ทรัมป์ ปีหน้า
    (ย้ำว่าเป็นข่าว ไม่ใช่ประกาศทางการของรัฐบาล)

    ประเด็น คือ ต้องอ่อนเท่าไหร่ถึงพอ
    ตรงนี้ยากมาก
    เพราะตอนนี้กำแพงภาษีที่โดนอยู่ปัจจุบัน ส่วนใหญ่ 25%
    (*มีบ้าง บางอย่าง 50% หรือปาไป 102.5% --- แต่ไม่กี่อย่าง)
    ⚠️⚠️⚠️ทีนี้ ที่ทรัมป์ขู่ คือ ยกให้เป็น 60%

    ลองคำนวณพื้นๆ
    ถ้ากำแพงภาษี ขึ้นจาก 25% เป็น 60% นั้น จีนจะต้องนวดให้หยวนอ่อนทะลุ 9 หยวน/ดอลลาร์ซึ่ง IMPOSSIBLE ระดับที่แม้แต่ ทอม ครูซ ก็ไม่รับงาน
    เป็นไปไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง!!!!!!!!!
    (เงินหยวนตอนนี้ ราวๆ 7.2 หยวน/ดอลลาร์)

    ซึ่งที่จริง ปกติ รัฐบาลไม่อยากให้หยวนอ่อนกว่า 7 หยวน/ดอลลาร์ด้วยซ้ำ
    พยายามคุมให้อยู่
    เพิ่งจะมา 2 ปีนี้ ที่เอาไม่ค่อยอยู่ ต้องปล่อยให้อ่อนเกินกว่านี้
    แต่ 7.3 เหมือนคือ "ขีดจำกัด" ที่ไม่อยากให้เกิน

    ทีนี้ กลับมาคำนวณ
    ทรัมป์ต้องขึ้นกำแพงภาษีไป ไม่เกิน 40% --- หยวนถึงจะอ่อนพอหักล้าง (offset) ที่สัก 8 หยวน/ดอลลาร์⭐️⭐️⭐️
    แบบนี้ พอกัดฟันสู้ไหว

    ถ้าภาษีเลย 40% ขึ้นไป หยวนต้องอ่อนทะลัก 8 หยวน/ดอลลาร์ ซึ่งเป็นไปได้น้อยมากที่รัฐบาลจีนจะยอม

    (*ทั้งนี้ นี่คือคิดโดยใช้ข้อ 3. ข้อเดียวมาหักล้าง
    แต่เวลาจริงๆ มันก็เอาข้อ 2. มารวมช่วยข้อ 3. ได้
    ช่วยลดราคาลงหน่อย ค่าเงินมันก็ไม่ต่องอ่อนสู้ขนาดนั้น)

    และไม่ใช่แค่จีนที่ดีดลูกคิดเป็น
    อเมริกาก็กดเครื่องคิดเลขเป็น
    จีนหาทางแก้เกม อเมริกาก็หาทางวางหมากให้แก้ไม่ได้อยู่

    สนุกดีเหมือนกัน

    กำแพงภาษีสักเท่าไหร่ดี
    หยวนอ่อนได้ถึงเท่าไหร่ดี
    หรือมีอะไรมาเจรจาต่อรองแลกเปลี่ยนดี

    ทรัมป์มา มีอะไรๆ ให้ดูเยอะ!

    https://www.facebook.com/share/p/cZNDHyc9o1fxksTg/
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,823
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ทุนต่างชาติ #ไหลออก จากตลาดหุ้นมาเลเซีย 15วันซ้อน! สถิติยาวสุดรอบ 3ปี! ออกรวมกัน 2.6หมื่นล้านบาทแล้ว! สัญญาณป่วน หลังทรัมป์มา
    FB_IMG_1733930114546.jpg
    แต่เอาจริง หุ้นไม่ยักกะลงเท่าไหร่นะครับ ลงไม่เยอะ
    (FTSE Bursa Malaysia KLCI Index)
    FB_IMG_1733930119022.jpg
    https://www.facebook.com/share/p/99zPxb4n2iUTyVht/
     

แชร์หน้านี้

Loading...