บทความให้กำลังใจ(มีแต่ไม่เอา)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,909
    ค่าพลัง:
    +16,491
    ชีวิตก็เป็นอย่างนี้นะคะพี่ต้อย เราคงเดินทางมานานจนรู้สึกว่าล้า แต่ยังไงก็ยังต้องเดินต่อไปนะคะ ก็คงช้าลงไปทุกวันเพราะแรงน้อยถอยลง เป็นแรงใจ รายวันให้กันและกันนะคะคุณพี่
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    yjpEeT206806-02.jpg

    ไม่มีอะไรใหญ่เหนือใจ

    พระบรมศาสดาทรงตรัสว่า "ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ เมื่อกระทำเหตุให้ดีแล้ว ย่อมจะนำไปสู่ผลที่ดีได้เอง แม้เราจะปรารถนา หรือไม่ปรารถนาก็ตาม ย่อมต้องได้รับผลแห่งการกระทำนั้นอยู่วันยังค่ำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงในโลกนี้ ไม่ว่าเราจะยึดถือไว้ว่าเป็นของเรา หรือไม่ยึดถือว่าเป็นของเราก็ตาม ย่อมต้องพลัดพรากจากเราไปไม่วันใดก็วันหนึ่งอย่างแน่นอน แม้สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น จะไม่พลัดพรากจากเราไป เราก็ต้องพลัดพรากจากสิ่งเหล่านั้นไปอยู่เอง เพราะไม่มีใครเกิดมาแล้วไม่ตาย นี้! เป็นสัจธรรมที่มีอยู่คู่โลกมาแต่กาลไหนๆ"

    เพราะการที่เราต้องพลัดพรากจากทุกสรรพสิ่ง จึงเป็นเหตุอันควรให้ตระหนักว่า "ไม่ว่าเราจะพบกับสิ่งใด ก็พบเพื่อจะพลัดพรากจากกันในวันหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่จะพบเพื่ออยู่ร่วมรวมกันไปตลอด สัตว์โลกไม่มีรายใดจะประสบกับความสมหวังได้ตลอด ล้วนต้องผิดหวังด้วยกันทั้งนั้น โลกนี้จึงมีแต่ทุกข์ เพราะความปรารถนาที่ไม่สมหวัง ย่อมเป็นเหตุให้เกิดทุกข์อยู่ร่ำไป และเป็นเหตุทำให้ขาดสติปัญญา ขาดความยั้งคิดใคร่ครวญ อาจยังให้กระทำในสิ่งที่ผิดถลำลึกลงไปอีกก็ได้ ยิ่งหวังมากก็ยิ่งทุกข์มากขึ้นเท่านั้น ครั้นจะไม่มีความหวังเอาเสียเลย สัตว์โลกก็คงไม่ต้องทำอะไรกัน"

    ในธรรมท่านจึงสอนว่า "จงทำความปรารถนาในสิ่งอันพึงปรารถนา คือปรารถนาในสิ่งที่จะเป็นไปได้ และจะเป็นไปในปัจจุบันเท่านั้นก็พอแล้ว สิ่งใดที่ถึงแม้จะเป็นไปได้ แต่ยังไม่ถึงกาลอันควรจะเป็นไป ก็อย่าเพิ่งทำความปรารถนาไปก่อนเลย มิพักต้องกล่าวถึง การทำความปรารถนาในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ยิ่งไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้ผู้ทำความปรารถนาต้องประสบกับความผิดหวังไปโดยตลอด และเป็นเหตุทำใจให้เป็นทุกข์ไปเปล่าๆ"

    เพราะเหตุนั้น พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ไม่มีสิ่งใดมีคุณค่ายิ่งไปกว่าใจ เพราะใจเป็นสมบัติอันล้ำค่ากว่าสมบัติทั้งปวง ใจย่อมเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน จงรักษาใจไว้ให้ดี เมื่อใจดีแล้ว ย่อมเป็นเหตุทำให้เกิดการคิดดี ทำดี และพูดดี ก็การคิดดี ทำดี และพูดดีนี้ ย่อมเป็นขุมทรัพย์อันประเสริฐ ที่อาจยังขุมทรัพย์อื่นๆให้เกิดขึ้นได้อีกอย่างมากมาย"
    :- http://www.doisaengdham.org/สายธารธรรม-โดยเจ้าอาวาส/ไม่มีอะไรใหญ่เหนือใจ.html
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    "การครองเรือน มันจะไปวิเศษวิโสอะไร มีแฟนก็ทุกข์กับแฟน ต่อให้มีอีกมากมายเท่าไร มันก็ไม่พ้น ต้องทุกข์กับคนนั้นอยู่ดี เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ อยู่อย่างนั้น ไม่จบไม่สิ้น สุขแค่ประเดี๋ยวประด๋าว แต่ต้องทนทุกข์อย่างแสนสาหัส อยู่ในโลกใบนี้ ตัวยังไม่รู้ จักเข็ดอีกหรือ พิจารณาดูสิ ของเหล่านี้ มันมีอยู่ประจำโลก โลกอันจอมปลอมนี้ ล่อหลอกกันอยู่อย่างนี้ ใครมาเกิดในโลกใบนี้ ก็ต้องเจอของเก่าๆ เดิมๆ แบบนี้ พิจารณาดูสิ สู้ฝึกจิตของเจ้าของไม่ได้หรอก ถ้าใครฝึกได้ถึงขั้นถึงภูมิแล้ว มันเหนือโลกเหนือวัฏสงสารเลยนะ นี่สิถึงจะวิเศษของจริง หัดคิดพิจารณาดูบ้างสิ..."

    โอวาทธรรมคำสอนพ่อแม่ครูบาอาจารย์
    หลวงปู่ทุย ฉันทกโร
    วัดป่าดานวิเวก อ.โซ่พิสัย จ.บึงกาฬ
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    WinWin.jpg
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    LpJarunLove.jpg
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    LpJarunMuk.jpg :):D
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    LpChaiyasaroAdmireGossip.png
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    Banna.jpg
    LpPramochPramocho.jpg
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    LpChaiyasaroWord.jpg
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ถ้าคุณกำลังมองหาใครบางคน
    ที่จะสามารถเปลี่ยนชีวิตของคุณ
    ให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้ลองส่องกระจกดูครับ
    ใช่ครับ คนเดียวจริงๆ
    ที่จะเปลี่ยนชีวิตของคุณได้
    มิใช่คนอื่นไกล

    คนนั้น คือ ตัวของคุณเอง


    เพราะลิขิตฟ้า หรือจะสู้มานะตน
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    Vvachiramethi.jpg
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    BuddhaCloud.jpg
    อกหัก จริงๆ แล้ว ไม่มี (อนัตตา)

    พฤษภาคม 2, 2012 โดย ธ. ธรรมรักษ์

    ดังที่ผู้เขียนกล่าวไปแล้ว คือเรื่องอนิจจังกับเรื่องทุกข์ และต่อไปก็จะเป็นเรื่องอนัตตา ซึ่ง 3 เรื่องนี้ เป็นความจริงของโลก 3 ประการที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ “อนัตตา” แปลว่า “ไม่ใช่ตัวตน” หมายความว่า สิ่งทั้งหลายไม่มีแก่นสารถาวรคงที่ มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา คล้ายๆ หลักอนิจจัง แต่อนัตตาจะกล่าวถึงว่าในที่สุดแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่มีอะไรเลย เช่นคนคนหนึ่ง พอตายก็กลายเป็นศพ พอเป็นศพก็เอาไปเผา กลายเป็นขี้เถ้า สุดท้ายก็มลายหายไปสิ้นเลย นี่คือหลักของอนัตตา ดังนั้น ผู้เขียนจึงกล้ากล่าวว่า ไม่มีความอกหักจริงๆ หรอก เช่นเดียวกับความเจ็บปวด ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นคล้ายภาพลวง เป็นมายา
    มายา หมายความว่า เป็นความจริงที่ไม่ใช่ความจริง คือมีจริง แต่ก็ไม่มีจริง ขอยกตัวอย่างเช่น ดวงจันทร์ที่เราเห็น นั่นคือภาพมายา ซึ่งจริงๆ แล้ว มีอยู่จริง เป็นดวงดาวจริงๆ แต่ภาพที่เราเห็นไม่ใช่ความจริงของดวงจันทร์ เพราะดวงจันทร์เป็นดาวที่ใหญ่มาก เราแค่เห็นเงาสะท้อนของแสงเห็นเป็นรูปกลมๆ เท่านั้น เราจะเหมาติต่างว่า ดวงจันทร์เป็นเช่นนั้นไม่ได้ ดังนั้นภาพของดวงจันทร์ก็คือมายา
    ความเจ็บปวดของความรัก หรืออกหักก็เช่นเดียวกัน เป็นมายา เพราะไม่ใช่ของจริง เป็นแค่เงาสะท้อนระหว่างสัมผัสของเราต่อคนที่เราผิดหวัง จับต้องไม่ได้ แต่ถือเอาได้ ทำเจ็บปวดได้เพราะเราทำตัวเอง แต่ถ้าเราไม่ถือ ความเจ็บปวดจากความรักจะมีน้ำหนักเบากว่าลม แทบไม่ระเคืองใดๆ เลย ซึ่งด้วยความที่เป็นมายาเช่นนี้ ความเจ็บปวดจากความรัก จึงเป็นอนัตตา

    จากความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนคิดว่าตัวเองเป็นของแน่นอน คิดว่าความรักเป็นของแน่นอน คิดว่าตัวเราต้องเป็นอย่างงั้น คนนั้นต้องเป็นอย่างงี้ การยึดมั่นให้มันเป็นสิ่งที่แน่นอนเป็นความหลงผิดในความถาวรที่ไม่มีจริง ผลก็คือ นอกจากจะปล่อยวางไม่ได้แล้ว ยังจะทำให้เราไม่เห็นใจคนอื่น กลายเป็นคนเห็นแก่ตัวอีกด้วย ซึ่งต่างจากคนที่เข้าใจเรื่องอนัตตาดี จะเป็นคนที่ไม่มีความเห็นแก่ตัวและปล่อยวางได้ง่าย ศาสนาพุทธไม่ได้สอนให้คนมองโลกในแง่ร้าย หรือไม่ดิ้นรนต่อสู้ในชีวิต แต่สอนให้คนไม่เห็นแก่ตัว รู้จักปล่อยวาง รู้จักเสียสละ รู้จักให้ และรู้จักว่า ชีวิตนี้คือการปฏิบัติธรรม นั่นเอง

    การเข้าใจหลักธรรมในพุทธศาสนา จะทำให้เราสามารถเข้าใจเรื่องต่างๆ ได้ดี แล้วไม่ยึดมั่นถือมั่น ทำให้เราอยู่ในโลกอย่างไม่ติดกับโลก เข้าใจชีวิตมากขึ้น เป็นการใช้ชีวิตอย่างผู้มีปัญญา เราควรคิดว่าโลกนี้เป็นละครโรงใหญ่ เพราะแต่ละคนมีหน้าที่ของตนต้องกระทำ หน้าที่ก็จะผันแปรเปลี่ยนไปตามการโลดเต้น ดิ้นรนของตัวละคร ซึ่งอาจกลายเป็นอะไรก็ได้ วันนี้อาจเป็นยาจกแต่อีก 20 ปี อาจเป็นรัฐมนตรีก็ได้ ใครจะไปรู้ หรือวันนี้อาจจะอกหัก อกตรม อยากฆ่าตัวตาย แต่อีก 1 สัปดาห์ อาจเตรียมตัวแต่งงานอย่างมีความสุขก็ได้ ซึ่งชีวิตนี้เป็นโรงละครที่ยุ่งวุ่นวายที่สุด ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอย่างแน่นอน “ความไม่แน่นอน อาจจะแน่นอน หรืออาจจะไม่แน่นอนก็ได้” และ “ความแน่นอนอาจจะไม่แน่นอน หรืออาจจะแน่นอนก็ได้” อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้นั่นเอง
    นอกจากนี้พุทธศาสนายังสอนให้เราเชื่อเรื่องของการวนเวียนมาเกิดเป็นวงกลม หรือ “สังสาระ” โดยกรรมที่เราทำทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว จะส่งผลให้เรามีบทบาทตามกรรมนั้นๆ ถ้าเราทำไม่ดีมากๆ เราก็จะเจอแต่สิ่งไม่ดี การทำร้ายผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นเศร้าหมอง หรือแม้แต่อกหัก ในทางพุทธศาสนามีความเชื่อว่า เราต้องเคยทำเช่นเราเจอกับผู้ที่ทำเราเจ็บมาแล้ว จนมีคำพูดติดปากในหมู่คนเชื่อกฎแห่งกรรมว่า “กงกรรม กงเกวียน” ซึ่งกรรมจะมีความซับซ้อนมากขึ้น จนสำหรับบางคนอาจประสบชะตากรรมประหลาดพิสดารจนจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าไปทำกรรมอะไรมากันแน่ ซึ่งพระพุทธองค์ทรงแก้ปัญหาเรื่องการพบเจอชะตากรรมที่ไม่ดีว่า
    “จงทำแต่กรรมดี”
    ซึ่งกรรมดีจะส่งผลให้พบเจอแต่เรื่องดีๆ โดยแก้ปัญหากรรมร้ายๆ ทั้งปวง โดยเบื้องต้นแรกสุด พระพุทธองค์ทรงสอนให้ทำความดีจาก 3 ทางง่ายๆ ได้แก่
    1. กายกรรม : ควรมุ่งทำดีทางกาย ทางการกระทำ หากไม่ประสงค์จะแสดงท่าทางอะไร ก็ควรจะสำรวมกายไว้ก่อน เป็นการระมัดระวังตนเอง ไม่ให้เกิดความประมาท และควรมุ่งสะสมทำความดี เช่นอุทิศตนช่วยเหลือผู้อื่นโดยการทำดีให้มากๆ
    2. วจีกรรม : ควรมุ่งพูดดี ไม่พูดจาเหลวไหล หรือพูดจาไม่ดีในทางเสียหาย การพูดนั้น แม้ไร้น้ำหนักและลงทุนน้อย แต่บางคำพูดก็สามารถเกิดผลอย่างใหญ่โตได้ ดังนั้นเราต้องพูดแต่สิ่งดีๆ และทำให้คำพูดของเราน่าเชื่อถือ การพูดจากลิ้งกลอกเรื่อยเปื่อย พูดเอาความจริงไม่ได้ บางคนอาจจะคิดว่าไม่บาป แต่จริงๆ แล้วเป็นกรรมที่ไม่ดีเช่นกัน
    3. มโนกรรม : ควรคิดแต่สิ่งดีๆ ความคิดของคนเรานั้นบังคับยากมาก แต่ความคิดมันไม่มีสาระที่แท้จริง เราควรปล่อยวางความคิดไม่ดีที่เกิดขึ้นซะ อย่าคิดว่าเราตั้งใจคิด แต่เมื่อใดที่ความคิดไม่ดีเกิดขึ้น ให้เราคิดซะว่า เราเผลอไป เหมือนเดินหกล้ม ซึ่งจริงๆ เราก็ไม่ได้ตั้งใจจะหกล้ม มันหกล้มของมันเอง แล้วให้เราตั้งใจคิดแต่เรื่องดีๆ เราก็จะเป็นคนที่สามารถคิดแต่สิ่งดีๆ ได้

    ในที่สุดแล้ว การเข้าใจในกฎของอนิจจัง – ไม่เที่ยง ทุกข์ – เป็นทุกข์ และอนัตตา – ความไม่มีตัวตนนั้น ถ้าเรานำไปใช้ปรับปรุงในชีวิตประจำวันแล้วจะทำให้เราอยู่ในชีวิตอย่างมีความสุข หากเราหมั่นตรองธรรมะดังกล่าวอยู่เสมอ เราก็จะเกิดปัญญา เข้าใจกฎของชีวิต เข้าใจปรากฏการณ์แท้จริงของธรรมชาติ เป็นการสร้างเกราะคุ้มกันให้กับชีวิต ทำให้เราอยู่ในโลกได้อย่างมีความสุขมากขึ้น แต่เราต้องระมัดระวังในมุมมองของการใช้ชีวิต คือเราควรมองชีวิตแบบแยกพิจารณา อย่ามองเหมารวมกันไปซะทั้งหมด การแยกพิจารณาว่า อันไหนดี อันไหนชั่วจะเป็นประโยชน์แก่เรามาก และควรแยกมองตามสถานการณ์และโอกาสต่างๆ ตามความเหมาะสม การรู้จักใช้สติปัญญาเช่นนี้ จะทำให้เราอยู่ในโลกนี้อย่างมีความสุขมากขึ้น อยู่ในโลกโดยไม่ติดกับโลก ไม่โดนโลกปั่นหัว ไม่มึนงงในสภาวะของโลก ทำให้ใช้ชีวิตอย่างชาญฉลาดและมีความสุข
    :- https://torthammarak.wordpress.com/2012/05/02/อกหัก-จริงๆ-แล้ว-ไม่มี-อน/
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    e663.jpg
     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ........... e2148.jpg
     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    e1688.jpg
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    Gossip.jpg
     
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    NoPowder.jpg
     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    HeartGarbage.jpg
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    e114.gif
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,514
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    LpRuesriProtecter.jpg
    "..คนเมาแต่ธาตุของตัวยังพอดี เรียกว่าทุกข์น้อย ถ้าเมาในธาตุของบุคคลอื่นด้วยเรียกว่าทุกข์หนักขึ้นไป ถ้ายิ่งเมาอยากจะมีลูก เมาอยากจะมีหลาน เมาอยากจะมีเหลน ก็ยิ่งหนักเข้าไปทุกที

    ของที่มันอยู่บนบ่าเราชิ้นหนึ่งก็หนักอยู่แล้ว ไปเพิ่มเข้ามาอีกชิ้นหนึ่ง มันก็หนักเข้าไปอีกเท่าตัว เพิ่มเข้ามาอีกชิ้นหนึ่งหนักเข้าไปอีก ของยิ่งหนักอยู่แล้วไปแสวงหามาให้หนักมากขึ้น

    พระพุทธเจ้ากล่าวว่า ภาราหะเว ปัญจักขันธา ขันธ์ทั้งห้าเป็นภาระอันหนัก.."

    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง) จากหนังสือ ธัมมวิโมกข์ฉบับ ๔๑๙ หน้า ๕๗
     

แชร์หน้านี้

Loading...